หากเรามาพิจารณาดูกันดีๆ
เราจะเห็นว่า ณ วันนี้ ทุกคนบนโลกกำลังทุรนทุรายไปบนความเร่าร้อนของสังคมโลก
สัมผัสได้ถึงความวุ่นวายที่มาทั้งจากภายนอกภายในตนเอง
เหมือนเรากำลังอยู่ในหม้อน้ำเดือดยังไงยังงั้น
หากเปรียบโลกทั้งใบนี้เป็นตู้ปลา
มันคงจะเป็นตู้ปลาในระบบทุนนิยมที่ส่งเสริมความเป็นความอยู่ของปลาในตู้กันอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู
ด้วยการพยายามยกระดับชีวิตของปลาทุกตัวให้อยู่ดีกินดีกันถ้วนหน้า
ตามมาตรฐานที่ใครก็ไม่รู้ขีดให้ทุกคนทำตาม แล้วชีวิตจะดี มีคุณภาพ พอกระตุ้นแล้ว
ทีนี้ปลาก็ออกลูกออกหลานมาเต็มตู้ไปหมด จะกิน จะขี้ จะเยี่ยว จะสำรอก จะตาย
ก็ลงในตู้หมด ทุกวันนี้ปลาในตู้ก็เลยได้แต่ดิ้นพล่าน หาทางออก ด้วยการ...
- รณรงค์ลดโลกร้อน
โดยสิ้นเปลืองวัสดุและเชื้อเพลิงจัดอิเวนท์เพื่อลดโลกร้อน...เนี่ยนะ
- รณรงค์ให้ใช้ผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบจากธรรมชาติ
ก็เห็นมันใช้วิธีการแปรรูปโดยอุตสาหกรรมทั้งนั้น...ธรรมชาติตรงไหน?
- ใช้ชีวิตให้ใกล้ชิดธรรมชาติ...ด้วยการเอาธรรมชาติมาดัดแปลงให้เข้ากับความชอบของตนเอง
หารู้ไม่ว่าธรรมชาติแบบเดิมๆนั่นแหละโอเคอยู่แล้ว
พอคนเรามันรู้มากเข้า ฟุ้งมากเข้า จินตนาการมากเข้า ดัดจริตมากเข้า อยากรวยมากเข้า
ก็ไปดัดแปลงสิ่งต่างๆ อ้อมพื้นฐานธรรรมชาติเดิมๆ จนผิดไปจากธรรมชาติแท้
แล้วก็มาบอกว่านำเสนอสิ่งที่เป็นธรรมชาติ หรือเรียกให้ดูดีว่าเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่ม
และด้วยความที่พยายามจะเรียบง่ายด้วยขั้นตอนที่ยุ่งยากต่างๆนานานี่เอง
ทำให้คนมันก็ดิ้นรนกันไป แก่งแย่งเบียดเบียนกัน จนเกิดเป็นชนชั้น เกิดการแบ่งแยก
เกิดความวุ่นวาย โดยหารู้ไม่ว่ามันจะเรียบง่ายได้อย่างง่ายดายก็เพียงแค่รู้จัก
"พอ"
แต่คำว่า "พอ" นั้น มันเป็นคำตรงข้ามกับคำว่า "บริโภค" ในทัศนะของนักการตลาด
แถมยังเป็นปฏิปักษ์ต่อความมั่งคั่ง(ของใครก็ไม่รู้)ที่หากินบนความอยากของผู้คน
ทำให้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่ในหลวงทรงดำริเอาไว้เกือบๆ 40 ปี
ก็ยังไม่สามารถแพร่หลายเติบโตไปสู่ประชาชนหมู่มากเท่าที่ควร
พูดตรงๆว่าชนชั้นนำทางเศรษฐกิจไม่ค่อยปลื้มหลักเศรษฐกิจพอเพียงเท่าไหร่หรอก
ก็ใครเล่าจะปล่อยให้ฐานลูกค้าขนาดใหญ่ได้รู้จักความพอเพียง
เพราะถ้าคนส่วนใหญ่พอเพียงขึ้นมาเมื่อไหร่เศรษฐกิจ(ของใครก็ไม่รู้)ก็จะไม่เติบโต
ถามว่าโตแล้วไปไหนเล่า
โลกมันก็ใบแค่นี้เอง กินข้าวอย่างมากก็แค่ 3 มื้อ
ขนาดตอนตายเงินเหรียญในปากก็ยังเอาไปไม่ได้เลย
โลกทุนนิยมนั้นเติบโตด้วยความอยากของผู้คน
แต่หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงสอนให้คนรู้จักพอเพียงแก่ตน
ลองนึกดูว่ามันจะไปกันได้จริงๆไหม?
รู้ไหมครับว่าปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงนั้นคือ "ธรรมนูญแห่งการปลดแอกความเป็นทาสทางเศรษฐกิจ" ที่ซ่อนตัวอยู่ในหลักการง่ายๆไม่กี่ข้อ แต่ทั้งหมดคือการบอกใบ้โดยนัยว่า
"เลิกเป็นทาส(ทางเศรษฐกิจ)กันได้แล้ว"
นับตั้งแต่การล่าอาณานิคม
ล่าเมืองขึ้นของยุโรปในสมัยก่อน(ขออภัยที่อ้างอิงได้แค่นี้เพราะไม่ชอบวิชาประวัติศาสตร์) เราก็รอดมาได้โดยพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5ทรงประกาศเลิกทาส(ทางกาย) เพื่อให้ฝรั่งเห็นว่าเราก็อารยะแล้ว ไม่ใช่บ้านป่าเมืองเถื่อนที่จะรุกรานกันง่ายๆ
พอพ้นจากยุคล่าอาณานิคมเป็นต้นมา
รูปแบบการล่าเมืองขึ้นและการค้าทาสก็เปลี่ยนไป แนบเนียนขึ้น
มากับภาพลักษณ์อันสวยหรู มั่งคั่งอลังการของระบบทุนนิยม
วาดฝันให้ปลาในตู้ทั้งหลายดิ้นรนไปติดกับดัก
จนหมดสิ้นความสามารถที่จะพึ่งตนเองในที่สุด แล้วก็ว่ายวนในตู้ปลาโดยไม่เคยได้พบอิสรภาพไปจนตาย
ไม่เชื่อไปดูน้ำท่วมใหญ่ปลายปี
2554 ก็ได้ ขณะที่คนท้องถิ่นในต่างจังหวัดถูกน้ำท่วม เขาก็ออกทอดแหหาปลากินได้
ส่วนคนกรุงพอของในซุปเปอร์มาร์เก็ตหมด ถ้าไม่วิ่งรี่ออกไปต่างจังหวัด
ก็ดิ้นพราดๆยกมือขอความช่วยเหลืออย่างเดียว
ทีนี้ชัดหรือยังครับว่าทุนนิยมได้พรากอะไรไปจากเราบ้าง?
แค่นี้ยังน้อยนะครับ
เพราะเนื้อหาทั้งหมดที่ผมจะทยอยเขียนลงในบล็อกแห่งนี้อาจจะทำให้คุณอยากจะเดินออกจากระบบทุนนิยมเดี๋ยวนี้เลยก็ได้
แต่ไม่เป็นไร ค่อยๆเป็นค่อยๆไปจะได้ไม่ช็อค
แต่อย่าเพิ่งเข้าใจผิดครับ
ผมเองไม่ได้คิดจะปลุกปั่นให้ทุกคนลุกขึ้นมาต่อต้านใครหรือต่อต้านระบบนะครับ
เพราะนี่เป็นเกมของเขา เกมของผุ้มีอำนาจ
ป่วยการที่จะไปงัดข้อเล่นเกมกับผู้ทรงอิทธิพลทั้งหลายที่เราจะไม่มีวันชนะ
ผมพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่านี่ไม่ใช่หนึ่งในกระแสต่อต้านระบบทุนนิยมที่กำลังแพร่กระจายไปทั่วโลก
ณ เวลานี้
เพราะการต่อต้านก็ยังแสดงให้เห็นว่าเราต้องการให้มันเปลี่ยนแปลงและเรายังต้องการมันอยู่
ลองถามตัวเองดูสิครับว่า
นับตั้งแต่ระบบทุนนิยมครองโลกใบนี้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
เราพบกับความสงบสุขกันจริงๆ หรืออะไรๆมันเลวร้ายลงไปกว่าเมื่อก่อนกันแน่?
อย่ากลัวที่จะมองออกไปหาทางเลือกที่นอกเหนือจากระบบทุนนิยมครับ
เพราะในหลวงท่านทรงเตรียมพื้นฐานที่จะรองรับการปลดแอกทางเศรษฐกิจเอาไว้แล้ว
ในหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง
และหากว่าคุณผู้อ่านเข้าใจในเนื้อสารที่ผมจะเขียนต่อไปนี้ทั้งหมด
และเข้าใจตามได้ว่า เรากำลังอยู่ในตู้ปลาของระบบทุนนิยม
ที่เขา(ผู้มีอิทธิพลทางเศรษฐกิจ)จะปั่นชีวิตเรา ให้เราทำอะไร เมื่อไหร่ก็ได้
หรือจะปล่อยเราทิ้งเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ก็ขอให้เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการพึ่งตนเอง
โดยหันไปปรับใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงให้ครอบคลุมทุกเรื่องของชีวิต
ปรับให้พื้นฐานความต้องการของชีวิตมีความพอเพียงเสียก่อน
ส่วนที่เหลือถือว่าเป็นกำไร ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร
เท่านี้เราก็ปลดแอกจากความเป็นทาสทุนนิยมในเบื้องต้นแล้ว
ถ้าเราสามารถประยุกต์ใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงได้มากๆ
เผยแพร่และ จุดประกายต่อๆกันไป
จนคนหมู่มากได้ตื่นขึ้นมาเห็นความจริงเบื้องหลังระบบทุนนิยม และสามารถพึ่งตนเองได้
มีภูมิคุ้มกันจากการเปลี่ยนแปลงที่อยู่ในมือคนไม่กี่คน
วันหนึ่งอำนาจแห่งทุนนิยมและอำนาจล้นฟ้าของนักการเมืองขี้ฉ้อก็จะหมดความหมายและฝ่อลงไปเอง
ไม่ต้องไปต่อต้านหรือต่อสู้กันให้ยุ่งยากมากความ
ในหลวงท่านทรงพยายามจะคืนอิสรภาพทางเศรษฐกิจให้กับคนไทยทั้งประเทศ
ผ่านทางหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาโดยตลอด
แต่ก็ไม่เคยได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจังจากภาครัฐอย่างจริงจัง
เพราะรัฐนั้นถูกครอบงำโดยนักธุรกิจการเมืองที่ไม่ต้องการให้เราหายอยาก
เศรษฐกิจพอเพียงจึงมาเติบโตอย่างช้าๆในภาคของประชาชนแทน
"ความลับในตู้ปลา" จะขอเปิดเผยความจริงอันมืดมิดเบื้องหลังระบบทุนนิยมทั้งหมดแบบตรงไปตรงมา
โดยใช้สันติสุขของมนุษย์เป็นพื้นฐาน
ไม่ใช่หลักวิชาการที่เอาแต่พูดให้ดูดีมีหลักการ
เพราะหลักการทั้งหมดของวิชาการมันก็รับใช้ทุนนิยมนั่นแหละ