หมู่บ้านพอถือกำเนิดประมาณเดือนธันวาคม 2554 เป็นกลุ่มเปิดในเฟสบ๊ค ภายหลังจากมหาอุทกภัยใหญ่ที่ถล่มภาคกลางเริ่มซาลง
ทิ้งไว้เพียงร่องรอยความเสียหายเป็นวงกว้างและคำถามมากมายต่อความอ่อนแอของระบบทุนนิยมอย่างที่ไม่เคยเเป็นมาก่อน
น้ำท่วมในครั้งนั้นทำให้ได้เห็นว่า
ความเป็นคนเมืองที่ต้องพึ่งพาระบบทุนนิยมนั้นเปราะบางและอ่อนแอเพียงใด
ไม่แค่คนเมือง แต่คนชนบทที่รับวิถีทางของระบบทุนไปก็อ่อนแอไม่แพ้กัน
โดยเห็นได้จากคนส่วนใหญ่ไม่สามารถพึ่งตนเองได้
ต้องรอคอยและร้องขอความช่วยเหลือจากภาครัฐและอาสาสมัครจากทุกภาคส่วน
ไม่เพียงเท่านั้น
ระบบทุนที่ต้องพึ่งพาระบบขนส่งและการกระจายสินค้าก็พลอยหยุดชะงักจนกระทั่งเกิดการขาดแคลนน้ำและอาหารไปทั่วพื้นที่ประสบภัยและพื้นที่ใกล้เคียง
นอกจากนั้นก็ทำให้ความจริงอันน่าตกใจแสดงตัวออกมาว่า คนในระบบทุนนิยมนั้นไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้จริงในยามวิกฤต
ประกอบกับที่ผมได้มีโอกาสศึกษาหลักเศรษฐกิจพอเพียง
ในช่วงเวลาแห่งวิกฤตนั้นพอดี
ภาพร่างทั้งหมดของหมู่บ้านพอจึงประกอบกันอย่างสมบูรณ์ขึ้นในใจ
ทำให้ตระหนักอย่างลึกซึ้งว่า
ในหลวงท่านทรงพยายามเตือนภัยให้กับคนไทยทุกคนตลอดเป็นเวลากว่าหลายสิบปี
ภัยนี้ไม่ใช่ภัยอันเกิดจากธรรมชาติ
ภัยธรรมชาติมาเพื่อเปิดเผยจุดอ่อนและความจริงอันน่าตกใจของระบบทุนเท่านั้น
แต่ภัยที่ว่านี้คือภัยคุกคามจากระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเอง ที่จะทำให้คนไทย
อ่อนแอต่อการพึ่งตนเอง มืดบอดต่อระบบอันซับซ้อนที่ระบบสร้างขึ้น อับจนหนทางที่จะเป็นอิสรภาพทางเศรษฐกิจ
และที่สุดก็ต้องตกเป็นทาสของอภิสิทธิ์ชนส่วนน้อยผู้กุมอำนาจแห่งทุน
ซึ่งสามารถสั่งให้รัฐบาลซ้ายหันหรือขวาหันได้ตามใจนึก
และประเทศไทยก็จะตกเป็นเมืองขึ้นทางเศรษฐกิจของประเทศที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจมากกว่าในที่สุด
เรียกว่าเป็นการยึดครองประเทศแบบถูกกฏหมายและเบ็ดเสร็จเด็ดขาดยิ่งกว่ายุคใดๆ
เท่าที่ผ่านมาคนไทยไม่เคยได้ตระหนักถึงภัยทางเศรษฐกิจนี้
ก็เพราะว่า ระบบทุนสร้างภาพอันสวยหรู
สร้างความหวังเทียมขึ้นมาหลอกล่อให้คนวิ่งไล่ตาม ตบตาเราด้วยตัวเลขทางเศรษฐกิจ
ให้รางวัลเล็กๆน้อยด้วยความสะดวกสบายที่ผู้เสพต้องแบกต้นทุนของมันด้วยตัวเอง
แล้วติดอยู่ในระบบหนูถีบจักรจนกว่าจะหมดแรงวิ่ง
กลายเป็นทาสโดยสมัครใจอันต่างจากระบบทาสในอดีตเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอก
แต่จิตใจกลับรุ่มร้อนด้วยตัณหาจนกลายเป็นทาสทางวัตถุไปเสียแล้ว
หมู่บ้านพอจึงถือกำเนิดขึ้นโดยกลุ่มคนชั้นกลางที่เบื่อหน่ายและรู้เช่นเห็นชาติระบบทุนนิยม
ที่นับวันจะสามานย์มากขึ้นเรื่อยๆ
หมู่บ้านพอเป็นจุดศูนย์กลางในการรวบรวมภูมิปัญญาและองค์ความรู้พื้นบ้านจากทั่วทุกมุมโลกมาแบ่งปัน
เรียนรู้ ฝึกฝนเพื่อการพึ่งพาตนเองในทุกๆด้าน
เพื่อฟื้นฟูศักยภาพของมนุษย์ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
และล้างพิษกิเลสตัณหาที่ถูกรุกเร่งจนถึงขีดสุดามแนวทางบริโภคนิยม
ด้วยอานุภาพแห่งสัจธรรมแห่งพระพุทธศาสนาไปพร้อมๆกัน
ทั้งนี้เพื่อเป็นการปลดแอกผู้คนจากระบบเศรษฐกิจอันกดขี่
เอารัดเอาเปรียบ ให้ทุกคนได้มีที่ยืนของตน
สามารถยืนบนขาของตนได้อย่างสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
ไม่ใช่เป็นเพียงหมากเบี้ยไร้ค่าในความหมายแห่งทุน
โดยลดการพึ่งพาระบบทุนให้มากที่สุด ปรับเปลี่ยนความคิด ลบล้างค่านิยมเก่าๆที่ทำให้จิตใจรุ่มร้อน
ต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนไม่หยุด
ลดอำนาจและอิทธิพลการต่อรองของระบบทุนที่มีต่อชีวิตให้มากที่สุด
และช่วยคลี่คลายเวทนาความบีบคั้นและความดิ้นรน
จากวงจรวิบากอันซับซ้อนของระบบทุนนิยมให้เรียบง่ายขึ้น
นำพาให้ทุกคนได้พบสันติสุขในใจอย่างแท้จริง
เนื้อหาและแนวทางแห่งหมู่บ้านพอ
เนื้อหาและแนวทางที่เป็นหลักของหมู่บ้านพอนั้น
มีสองส่วนก็คือ หลักเศรษฐกิจพอเพียง และ สัจธรรมแห่งพระพุทธศาสนาอันเป็นสากล
โดยเนื้อหาของหลักเศรษฐกิจพอเพียงนั้นเป็นรูปแบบที่จะมารองรับความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย
พอเพียงแก่พื้นฐานของชีวิต สามารถพึ่งตนเองได้จริง
มีภูมิคุ้มกันที่ดีกับการเปลี่ยนแปลง
ลดความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมและอุปสงค์ลวงที่ถูกสร้างขึ้นจากการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ส่วนสัจธรรมแห่งพระพุทธศาสนานั้นก็จะช่วยให้
ลดตัณหาความอยากได้อยากมี ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้สรรพชีวิตทั้งหลายต้องดิ้นรนร้อนรน
จนไม่อาจจะมีความสุขได้ต่อให้มีเงินมากมายก็ตาม
และให้รู้เท่าทันเล่ห์กลอันสลับซับซ้อนทั้งหลายของระบบทุนที่กระตุ้นความอยากในใจ
ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ทั้งหลายทั้งมวล
ที่ผู้คนในระบบทุนมองไม่เห็นและไม่เข้าใจด้วยด้วย
ซึ่งเมื่อผสานรวมทั้งสองส่วนนี้เข้าด้วยกัน
ผลลัพธ์ที่ได้คือสังคมที่สงบสุข เรียบง่าย ที่เป็นไปโดยอัตโนมัติ
สงบสุขด้วยตัวมันเอง
ไม่ต้องไปดิ้นรนพยายามที่จะทำที่จะสร้างอะไรใหม่ๆให้มันสงบสุขอีก
ลดความซับซ้อนในการทำมาหากิน ทำลายวงจรอุบาทว์ของระบบคนกลางอันเป็นต้นทุนแอบแฝงที่นับวันจะไร้จรรยาบรรณมากขึ้นทุกที
ช่วยปลดแอกจากความดิ้นรนทั้งทางกายและใจ ฟื้นฟูชีวิตในองค์รวม ลดการแบ่งแยก
แข่งขัน เบียดเบียนทั้งตัวเองและผู้อื่น ทั้งทางกายและใจ
สร้างสังคมอริยะขึ้นเพื่อเป็นตัวอย่างแก่ผู้คนในยุคถัดไป
เนื้อหาและแนวทางแห่งหมู่บ้านพอนี้
สามารถปรับใช้ได้กับทุกที่
ไม่จำเป็นต้องเป็นหมู่บ้านเกิดใหม่หรือหมู่บ้านชนบทเท่านั้น
หมู่บ้านและชุมชนในเมืองก็สามารถนำไปปรับใช้ได้เช่นกัน หมู่บ้าน ชุมชน
หรือกลุ่มบุคคลที่รวมตัวกันอยู่แล้วก็สามารถนำเนื้อหาและแนวทางแห่งหมู่บ้านพอไปปรับใช้ได้ทุกที่ทุกเวลา
ไม่ขึ้นกับรูปแบบ ภูมิศาสตร์ และผู้คน
หมู่บ้านพอไม่ใช่สมบัติผูกขาดของใครคนใดคนหนึ่ง
มันจึงไม่มีลิขสิทธิ์ เป็นสมบัติของมนุษย์ชาติ ไม่ได้เป็นไปเพื่อการแสวงหากำไร
แต่เพื่อนำพาสันติสุขทั้งทางใจและกายมาสู่มวลมนุษย์ชาติ
และถ้าเพียงกลุ่มคนกลุ่มใดมีเนื้อหาและแนวทางตามที่กล่าวมาแล้ว ก็ถือได้ว่า หมู่บ้านพอ
ได้เกิดขึ้นตรงนั้นแล้ว
และนั่นก็จะทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกันโดยเนื้อหาและแนวทางทันที
และเมื่อหมู่บ้านพอ แพร่กระจายไปทั่วทุกภูมิภาค เราก็วสามารถเชื่อมต่อกันผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ให้ทุกคนได้ใกล้ชิดกันและไม่รู้สึกโดดเดี่ยวในการฝ่ากระแสทุนนิยมโลกอันเชี่ยวกราก ณ ปัจจุบัน
ท่านที่สนใจสามารถเข้ากลุ่มหมู่บ้านพอได้ที่นี่
และเมื่อหมู่บ้านพอ แพร่กระจายไปทั่วทุกภูมิภาค เราก็วสามารถเชื่อมต่อกันผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ให้ทุกคนได้ใกล้ชิดกันและไม่รู้สึกโดดเดี่ยวในการฝ่ากระแสทุนนิยมโลกอันเชี่ยวกราก ณ ปัจจุบัน
ท่านที่สนใจสามารถเข้ากลุ่มหมู่บ้านพอได้ที่นี่
No comments:
Post a Comment