สงครามโลกครั้งที่ 4 อาจจะเป็นสงครามที่คนกินกันเองน่ะนะ |
การวิเคราะห์นี้มาจากการประมวลผลข้อมูลส่วนตัว จากความเป็นจริงที่ปรากฏ และเป็นความเชื่อส่วนตัวเท่านั้น ไม่มีเหตุอันใดที่จะต้องมาถกเถียงเอาความกับข้าพเจ้าเลย
จั่วหัวซะน่ากลัว เพราะช่วงนี้เราจะเห็นสถานการณ์โลกในด้านต่างๆบ่งชี้ไปทางนี้หมดเลย ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์การเงินการคลัง และเศรษฐกิจในแต่ละประเทศ ตลอดจนถึงนโยบายการเงินการคลังของประเทศต่างๆที่มีลักษณะออกไปในทาง "หนีตาย" ซึ่งก็ไม่รู้ว่าหนีตายจากอะไร แต่ที่เห็นๆคือ ทุกประเทศหนีตายด้วยการพิมพ์เงินเพิ่มเหมือนกันหมด
ซึ่งโดยความเป็นจริงแล้ว สงครามโลกครั้งที่ 3 ได้เริ่มไปพักใหญ่แล้วครับ แต่คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ตัว!!!
เพียงแต่ว่าสงครามโลกครั้งที่ 3 นั้น เริ่มต้นไปแล้วในรูปแบบสงครามเศรษฐกิจนั่นเอง
นับตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้งเป็นต้นมา(ก่อนหน้านั้นก็มีการโจมตีค่าเงินของประเทศอังกฤษมาก่อนเมื่อปี 1992 แต่ไม่ฮือฮาเท่าของไทย) ชาติตะวันตก(โดยเฉพาะอเมริกา)ก็พบว่าการที่จะทำให้ชาติหนึ่งล่มสลายนั้นไม่ยากเลยครับ ก็แค่โจมตีค่าเงิน ปั่นหุ้นในตลาดท้องถิ่น แค่นี้มันก็ล่มสลายแล้วครับ เพราะว่าทุกบ้านทุกคนมีเงิน มีทอง มีทรัพย์สินต่างๆที่ผูกค่ากับระบบเงินตราและทองคำ ดังนั้นการจะส่งอาวุธไปทำลายล้างคนทั้งชาติก็ง่ายๆครับ แค่โจมตีมูลค่าทรัพย์สินเหล่านี้เสีย แค่นี้เศรษฐกิจก็พังพาบแล้ว พอพังแล้วเขาก็เข้ามาช้อนซื้อของถูกๆจากที่เขาทุบเอาไว้ยึดครองเป็นเมืองขึ้นเบ็ดเสร็จโดยไม่ต้องใช้อาวุธจริงแต่อย่างใด
แล้วคิดดูนะครับว่ากองทุน Hedge fund ของอเมริกานี่มีทรัพย์สินที่ไปปล้นชาวบ้านเขามารวมกันแล้วมากกว่าทรัพย์สินของหลายๆประเทศรวมกันด้วยซ้ำไป แล้วจะเอาอะไรไปสู้เขาเล่า
ทุกวันนี้เราก็เป็นเมืองขึ้นของฝรั่งกันหมดแล้วครับ ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร บริษัทกิจการต่างๆ กิจการคนไทยจริงๆที่เหลือรอดเป็นรายใหญ่ก็ต้องทำตัวสามานย์เหมือนกับพวกต่างชาติหรือไม่ก็ต้องเลียไข่มันไม่งั้นก็อยู่ไม่ได้ ก็นึกดูแล้วกันว่าเปรตครองโลกอยู่ การที่จะอยู่ให้ได้ร่วมกับเปรตก็ต้องเป็นได้ยิ่งกว่าเปรตครับ นี่คือเหตุที่ผมมักจะบอกว่าคนที่เป็นคนจริงๆน่ะอยู่ยากขึ้นทุกวันในสังคมทุนนิยม
ใครที่คิดว่าอเมริกายังเป็นประเทศเสรีอยู่ก็รับรู้ใหม่ได้เลยนะครับ เพราะนักการเมืองทุกคนในอเมริกาล้วนโยงใยไปสู่ผลประโยชน์มหาศาลของบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่ทั้งนั้น อย่าคิดว่าจะมีปัจเจกชนคนดีๆได้ขึ้นมาเป็นใหญ่นะ ยกเว้นแต่เขาจะปั้นให้นักการเมืองมีภาพลักษณ์เป็นคนดีอย่างที่ประชาชนอยากเห็น แต่นโยบายก็ถูกบงการจากบริษัทเอกชนอยู่ดี ไม่เชื่อดูโอบามาสิ ตอนนี้ออกลายซะไม่ต่างจากจอร์จ บุช อะไรที่เคยรับปากเอาไว้ดีๆก็มาเปลี่ยน กลายเป็นนักการเมืองสามานย์เหมือนที่คนอเมริกันเกลียดมาโดยตลอด กฏหมายที่ถูกตราขึ้นก็ถึงกับเป็นไปเพื่อส่งเสริมระบบทุนกันอย่างสุดๆ แทบจะไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนตัวเล็กๆได้พึ่งพาตนเองเลย แถมบังคับให้ทุกคนเข้าระบบเงินตราหรือเครดิตเพื่อให้พึ่งพาระบบมากที่สุด เพื่อที่บริษัทใหญ่ๆจะได้ดูดกินความมั่งคั่งผ่านระบบการเงิน ไม่ให้อิสรภาพในการพึ่งพาตนเอง จนแม้คนอเมริกันเองยังเรียกขานประเทศตัวเองว่า America Corporation เลย
การประกาศสงครามโลกครั้งที่ 3 นั้น ผมเชื่อว่าได้เริ่มต้นมาจากการทุบค่าทองเมื่อช่วงกลางเมษายน 2556 ที่ผ่านมา สาเหตุที่เราได้อ่านกันในสื่อกระแสหลักนั้นก็วิเคราะห์กันไปต่างๆนานา แต่ไม่มีใครกล้านำเสนอแบบนี้เพราะมันคลุมเครือ แต่การที่ราคาทองคำซึ่ง "ขึ้นอย่างผิดปกติ" มาพักใหญ่ จนกระทั่งถูกทุบดิ่งเหวในเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง เหตุการณ์นี้มันไม่ได้เป็นไปตามธรรมชาติของตลาดครับ มันจะต้องมีใครอยู่เบื้องหลังในการทุบทองแน่ๆ แต่การจะสืบสาวหาตัวจริงๆนั้นค่อนข้างยาก เพราะตลาดทองคำใหญ่โตและซับซ้อนมาก (ตลาดการเงินการธนาคารจึงเป็นที่หลบซ่อนตัวของอาชญากรทางเศรษฐกิจมากมาย)
การใช้อาวุธทางเศรษฐกิจนั้นมีมานานพอสมควร และถูกพัฒนามาเรื่อยๆจนกระทั่ง มีการทดลองอาวุธทางเศรษฐกิจที่ประสบความสำเร็จมากเมื่อตอนปี 2540 ซึ่งเป้าหมายของการทดลองอาวุธทางเศรษฐกิจนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นประเทศไทยของเรานี่เอง ผลก็คือประเทศไทยเกิดวิกฤติเศรษฐกิจที่เรียกขานกันว่า "ต้มยำกุ้ง" ทำให้คนฆ่าตัวตายกันมาก ล้มละลายก็มาก พอหลังจากนั้นเราก็แทบจะเป็นเมืองขึ้นทางเศรษฐกิจของต่างชาติที่วิ่งเข้ามาช้อนของถูกๆในบ้านเรากันหน้าตาเฉย ซึ่งถ้าใช้สงครามเข้ายึดครองก็จะโดนนานาชาติประนามครับ แต่พอใช้อาวุธทางเศรษฐกิจโจมตี ก็ไม่มีใครมายุ่งกับเราตอนโดนชำเราเลย ยกเว้น IMF หรือกองทุนระหว่างประเทศที่มาช่วยจัดคิวให้ต่างชาติเข้าชำเราประเทศไทยได้อย่างเป็นระเบียบ
นับแต่นั้นเป็นต้นมา "การโจมตี" ทางเศรษฐกิจผ่านระบบการเงินและตลาดหุ้นก็มีให้เห็นกันเรื่อยๆ บางประเทศรู้ทันรับมือได้ก็รอดไป(อย่างตอนต้มย้ำกุ้ง มาเลเซียก็รอดครับ) บางประเทศไหวตัวไม่ทัน หรือเศรษฐกิจอ่อนไหวกับการเปลี่ยนแปลงมากๆก็เกิดปัญหากันได้อย่างง่ายดายภายในไม่กี่ชั่วโมง
คิดดูก็แล้วกันว่าเราอยู่บนโลกแบบไหนกัน มีเงินมีทองอยู่กับตัว แต่มูลค่ากับขึ้นๆลงๆตามความต้องการของนายทุนรายใหญ่!! ยังคิดว่าจะปลอดภัยกันอีกไหมครับ?
หลังจากวิกฤติภาคอสังหาริมทรัพย์และภาคการเงินของสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2552 เป็นต้นมา จนถึงป่านนี้ อเมริกาเองก็ยังไม่ฟื้นตัวดี หลังจากมีมาตรการเอาเงินของประชาชนไปช่วยเหลือบริษัทยักษ์ใหญ่ใหญ่ไม่ให้ล้มแล้ว (ใหญ่ขนาดที่ว่าล้มไม่ได้ ถ้าล้มแล้วตายกันหมดทั้งประเทศ เราอยู่ในโลกแบบไหนกัน คิดดูครับ) ก็ยังงดเก็บภาษีบริษัทเพื่อเป็นการช่วยเหลือกิจการด้วย ลดภาษีให้บริษัทใหญ่ แต่กลับไปรีดเอากับคนอเมริกันตัวเล็กๆแทน ทำให้อเมริกาเป็นประเทศที่น่าอยู่มากจริงๆ(ฮา)
จากนั้นไม่นาน รัฐบาลอเมริกาก็ได้พิมพ์ธนบัตรดอลล่าร์ออกมาอย่างต่อเนื่องเพื่ออัดฉีดเข้าระบบในนามของ มาตรการ QE ซึ่งโดยปกติแล้วการพิมพ์เงินออกมานั้น จะต้องมีทองคำสำรองหนุนหลังมูลค่าเงินให้เพียงพอ แต่พี่แกก็เล่นพิมพ์เงินออกมากันแบบไม่สนเรื่องทองคำสำรองอีกต่อไป ตอนนี้ประเทศอื่นๆก็เลยยี้กับดอลล่าร์ไปด้วย เพราะมันกลายเป็นแบงค์กงเต็กไปแล้ว ซึ่งตอนนี้หลายประเทศหันไปใช้เงินหยวนของจีนในการค้าขายกับจีนแทน และอาจะรวมถึงไทยในอนาคตอันใกล้นี้ด้วย ซึ่งการเดินเกมของจีนเรื่องการดันเงินหยวนขึ้นเป็นเงินสกุลหลักของโลกแทนดอลล่าร์นี้เอง ก็ได้ทำให้อเมริการะคายเคืองอย่างมาก ไม่ใช่แค่นั้น ยังมีเรื่องราวของความขัดแย้งด้านการค้าอีกมากมายที่จุดประเด็นความขัดแย้งขึ้นมา ถึงขนาดประกาศสงครามกลายๆผ่านสุนทรพจน์ของประธานาธิปดี บารัค โอบามา ที่ประนามจีนอย่างเผ็ดร้อนในประเด็นขัดแย้งทางการค้าที่มีต่อกัน
Speech ของโอบามาที่คล้ายๆกับว่าจะประกาศสงครามกันจีนอยู่กลายๆ
https://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=dPL0l8HzMJw
นอกจากนั้นแล้วจีน รัสเซีย อินเดีย ก็ได้เร่งสะสมทองคำมากขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เหมือนพยายามจะลดอิทธิพลของดอลล่าร์ต่อระบบการค้าขายของตนให้มากที่สุด และหันมาอ้างอิงระบบทองคำมากขึ้น เพราะตอนนี้เห็นแล้วว่า ดอลล่าร์ใกล้ล้มเต็มที นี่ถ้าประเทศอื่นไม่ได้มีเงินดอลล่าร์อยู่เต็มกระเป๋า และอเมริกาไม่ถือปืนขู่ชาวโลกเอาไว้(ไม่รู้ว่าขู่จะถล่มชาวบ้านหรือฆ่าตัวตายหนีหนี้นะ) ป่านนี้ดอลล่าร์ล้มไปนานแล้วครับ
ซี่งช่วงนี้ใครก็ตามที่ถือดอลล่าร์เอาไว้เยอะๆก็เตรียมหนาวล่ะครับ เพราะพี่แกเล่นพิมพ์เงินออกมามากจนเงินเฟ้อแล้ว แถมไม่มีทองคำสำรองหนุนหลังด้วย อีกทั้งสถานการณ์ในอเมริกาก็เริ่มส่อเค้าไม่ค่อยดี อย่างการล้มละลายของเมืองใหญ่อย่างดีทรอยต์ และเมืองอื่นๆที่ออกอาการส่อว่าจะล้มละลายตามมาอีกมากมายทีเดียว
อย่าว่าแต่อเมริกาเลยครับ แม้แต่ญี่ปุ่นเองก็หันมาพิมพ์เงินผ่าน QE เหมือนกัน ถ้ายักษ์ใหญ่สองเจ้านี้ล้ม คนคงตายกันทั้งโลกล่ะครับงานนี้
ถัดจากเรื่องทองคำและการเงินของโลกแล้ว ก็ยังมีเหตุการณ์ตึงเครียดทางการเมืองอีก อย่างการให้ที่ลี้ภัยชั่วคราวกับ นายเอ็ดเวิร์ด สโนว์เด็น อดีตเจ้าหน้าที่รัฐที่ออกมาแฉโครงการลับของอเมริกาหลายต่อหลายเรื่อง จนที่สุด โอบามาก็งดบินไปประชุมทวิภาคีกับผู้นำที่รัสเซียในเวลาต่อมา นี่ไม่นับที่ออกมาแฉว่าอเมริการก็แอบสอดแนมจีน และจีนก็มีการแอบสอดแนมอเมริกาเหมือนกัน
ถึงตอนนี้เวลาแห่งสงครามจริงๆใกล้เข้ามาแล้วครับ เพราะอเมริกาไม่ยอมเจ๊งคนเดียวแน่ ถ้าจะเจ๊งก็ขอก่อสงครามก่อน เพราะที่ผ่านมา ชาวตะวันตกพบว่าการก่อสงครามก็เป็นหนึ่งในเครื่องมือแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างดีเช่นกัน อย่างน้อยก็ได้ขายอาวุธ ได้เข้าไปสูบกินทรัพยากรประเทศผู้แพ้สงคราม แถมผู้แพ้ก็ต้องจ่ายค่าเสียหายจากการก่อสงครามด้วย รวยเห็นๆ ส่วนใครจะตายช่างมัน คนตัวเล็กๆเดี๋ยวก็ลืม
ซึ่งถ้าไม่ก่อสงครามก็คงมีวิธีเดียวล่ะครับ ก็คือ กดปุ่มรีเซ็ตระบบการเงินโลกใหม่ทั้งหมด มาร้องไห้นั่งคุยกันเป็นการบำบัดหมู่ แล้วผลักดันโลกให้เข้าสู่ระเบียบโลกใหม่หรือ New World Order กันไปเลย เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าจะไม่มีมูลนะครับ มีความเป็นไปได้สูงทีเดียวล่ะ
สัญญาณสงครามโลกครั้งที่ 3 ดังถี่ขึ้น!
ReplyDeleteผลจากการพังพินาศของระบอบทุนนิยมโลก ทำให้ประเทศในยุโรปและสหรัฐอเมริกาเกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจอย่าง
ร้ายแรง และกำลังส่งผลกระทบที่ต่อเนื่องอย่างกว้างขวาง ส่อเค้าให้เห็นถึงการล่มสลายของระบอบทุนนิยมโลก ปรากฏเด่นชัดขึ้นยิ่งกว่ายุคสมัยใด
เพื่อค้ำจุนสถานะเดิมให้ดำรงอยู่ ระบอบทุนนิยมโลกจำเป็นต้องปล้นสะดมเอาทรัพย์สมบัติและทรัพยากรจาก
ทั่วโลกมาใช้ จึงได้มีการเข้ายึดครองอัฟกานิสถานและอิรักไปเรียบร้อยแล้ว
ต่อมาก็ได้มีการกำหนด 5 พื้นที่ใหญ่ของโลกเพื่อเข้ายึดครองและปล้นสะดมต่อไป ได้แก่ ลิเบีย ซีเรีย อิหร่านพื้นที่ทรัพยากรพลังงานบริเวณอ่าวไทยและกัมพูชา และพื้นที่ทรัพยากรพลังงานในทะเลจีนใต้ ซึ่งเป็นของประเทศจีน......อ่านต่อตามลิงค์
--------------------
ที่มา นสพ.แนวหน้า
http://www.naewna.com/politic/columnist/2641
new world order + end game ตายกันเป็นเบือครับ งานนี้
ReplyDelete/// ขอบคุณสำหรับการเขียนครับ คนรู้เรื่องพวกนี้ เริ่มมีเยอะแล้ว เดี๋ยวพวกคนเบื้องหลังก็ครองโลกแล้วครับ
ผมเห็นด้วยจริงๆ มันเป็นอย่างที่กล่าวมาข้างบนทุกอย่างเลย
ReplyDelete