เราโดนกรอกคำสั่งล้างสมองทุกวันผ่านสื่อที่เราเต็มใจจ่าย |
ทุกคนติดว่าตนเองมีเหตุผลที่ดีในการทำสิ่งต่างๆ และมีวิจารณญาณมากพอที่จะดูแลชีวิตตนเองได้ แถมยังเชื่อว่าสิ่งที่ตนเลือกนั้นดีที่สุดแล้วสำหรับตัวเอง
สิ่งนี้เองเป็นสิ่งที่นักโฆษณาและนักการตลาดใช้เป็นเครื่องมือในการขายของ โดยทำให้เราเชื่อว่าตัวเองเห็นความจำเป็นและมีเหตุผลที่ดีในการซื้อสินค้าของเขา เมื่อไหร่ที่ทำให้คุณคิดแบบนี้ได้ เขาก็จะขายของให้คุณได้ตลอดโดยที่ไม่ต้องออกแรงโน้มน้าวมากนัก เพราะคุณจะขายสินค้านั้นให้ตัวเองอย่างหนักแน่น นี่คือกลลวงที่นักโฆษณาและนักการตลาดใช้ในการขายของให้เหล่าผู้บริโภคที่คิดว่าตัวเองเจ๋งนั่นแหละครับ
ไม่เชื่อลองไปสำรวจดูของในบ้านคุณก็ได้ ผมเชื่อว่าทุกบ้านจะมีสิ่งของที่คุณซื้อมาแล้วใช้เพียงแค่ครั้งเดียวหรือน้อยครั้งอยู่มากกว่าหนึ่งอย่าง ดีไม่ดีอาจจะเต็มบ้านเลยด้วยซ้ำ สิ่งเหล่านี้แหละคือผลพวงจากการหลงในอุปสงค์ลวง
เราลองย้อนกลับมาที่อุปสงค์ขั้นพื้นฐานกันก่อนว่ามีอะไรบ้าง
อุปสงค์หรือความต้องการขั้นพื้นฐานที่สุดที่มนุษย์พึงมีก็คือ อาหาร ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ทั้งหมดเรียกว่าปัจจัยสี่ ซึ่งตอนนี้นายทุนจากบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลายกำลังยึดกุมตลาดของปัจจัย 3 อย่างแรกจนสิ่งเหล่านี้มีราคาแพงมากขึ้นมาก ทำให้คนชั้นล่างกลุ่มหนึ่งแทบจะไม่สามารถหาเงินมาเพื่อซื้อปัจจัยพื้นฐานเหล่านี้ได้อีกแล้ว
ลองสังเกตกันให้ดีๆนะครับว่า ทุกวันนี้ปัจจัยขั้นพื้นฐานต่างๆได้ถูกยกระดับให้มีความแตกต่างกันมากมาย ตั้งแต่แบบพื้นๆไปจนถึงระดับหรูหรา เพราะผู้ขายพยายามที่จะใส่มูลค่าเพิ่มลงไปในสินค้าและบริการของตน และมูลค่าเพิ่มทั้งหลายนี้เองที่ไม่ได้จำเป็นต่อเราอย่างแท้จริง
แต่ที่ต้องใส่มูลค่าเพิ่มเข้าไปก็เพื่อให้มีกำไรเพิ่มขึ้น ลองคิดดูนะครับว่าทรัพยากรของโลกนี้มีจำกัด เงินในกระเป๋าเราก็มีจำกัด การที่จะมาดึงเงินออกจากกระเป๋าเรามันก็ต้องทำอะไรที่พิเศษให้ลูกค้าพอใจหน่อย แม้มันจะไม่ได้มีมูลค่าเพิ่มจริงๆก็ตาม เป็นการลวงความรู้สึกให้ดูว่ามูลค่ามันเพิ่มขึ้น สร้างอารมณ์เพื่อที่จะกล่อมให้ผู้บริโภคควักเงินซื้อส่วนที่เกินจำเป็นนั้นไปด้วย
ไม่เชื่อลองดูตัวอย่างนี้ก็ได้ ข้าวราดกระเพรา ปกติร้านอาหารตามสั่งขายกันแค่จานละ 30 บาท แต่พอเข้าห้างก็ปรับราคาขึ้นไปเป็น 40-50 บาท พอเข้าไปขายในร้านอาหารก็ปรับเป็น 70-80 บาท เจอร้านหรูๆหน่อย ข้าวกระเพราแสนธรรมดาอาจจะยกระดับขึ้นไปที่จานละ 100-120 กลายเป็นอาหารเหลาไปก็เป็นไปได้
มูลค่าพื้นฐานของข้าวกระเพราะหนึ่งจานจริงๆคือ 30 บาท ส่วนที่เกินมาจากการเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อสถานะภาพของสินค้านี่เองที่เรียกว่าอุปสงค์ลวง อุปสงค์ลวงจึงเป็นภาพมายาแห่งความฟุ้งเฟ้อเกินความจำเป็นที่ผู้คนในยุคสมัยนี้ถูกบังคับให้จ่ายโดยไม่จำเป็น
ถ้าเราจะสังเกตให้ดีๆก็จะพบว่าคนสมัยนี้ใช้ชีวิตราวกับถอดแบบออกมาจากแคตตาล็อกสินค้า ซึ่งเต็มไปด้วยการสร้างอุปสงค์ลวง ลวงด้วยภาพ ลวงด้วยการสร้างอารมณ์ความรู้สึก ทำให้ทุกอย่างดูดี ดู"สมราคา"ไปหมด และเราก็ไม่อยากให้มาตรฐานชีวิตต่ำกว่านี้อีกแล้ว มันก็เลยเกิดความดิ้นรนที่จะรักษาสถานภาพที่ถูกอุปโลกน์ตรงนั้นขึ้นมาอีก
อย่างคำว่าไลฟ์สไตล์นั่นก็เป็นอุปสงค์ลวงอีกเหมือนกัน ไลฟ์สไตล์คือคำที่ทำให้คุณต้องยึดติดในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งที่ผู้ผลิตสินค้าและบริการทั้งหลายสร้างหมวดหมู่ขึ้นมาเพื่อแบ่งแยกกลุ่มผู้บริโภค ในการที่จะขายสินค้าให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย พูดง่ายๆคือ นักโฆษณาและนักการตลาดกำลังกำกับอารมณ์ของผู้บริโภคให้เกิดความต้องการสินค้าที่ตัวเองขาย ทั้งที่จริงแล้วเราอาจจะไม่ต้องการมันจริงๆก็ได้ อันนี้ถือเป็นความสำเร็จสูงสุดของวิชาชีพนักโฆษณาและนักการตลาด แต่เป็นความล่มสลายอย่างหนึ่งของสังคมมนุษย์ที่พยายามทุ่มเม็ดเงินสร้างสื่อในการหลอกลวงมนุษย์ด้วยกันเอง เพียงเพื่อที่จะได้มีความมั่งคั่งส่วนเกินที่กินใช้เท่าไหร่ก็ไม่หมด พูดง่ายๆคือผู้ผลิตก็หลงในอุปสงค์ส่วนเกินของตนเหมือนๆกัน
การสร้างอุปสงค์ลวงนี้มีเกิดขึ้นในทุกวงการครับ เครื่องมือที่ใช้ในการสร้างอุปสงค์ลวงก็ได้แก่ความกลัวตาย ความกลัวเสียทรัพย์สิน ความกลัวว่าจะต้องพรากจากคนที่รัก ความกลัวที่จะต้องเสียสถานภาพ ความภาคภูมิใจที่ได้ครอบครอง ความภาคภูมิใจในความพิเศษของมัน ความสุขสบายชั่วครั้งชั่วคราว ซึ่งที่ต้องใช้คำว่า"ลวง"ต่อท้ายอุปสงค์ก็เพราะ สิ่งเกินจำเป็นเหล่านี้เป็นไปก็แค่เพื่อให้ผู้บริโภครู้สึกดีเท่ากับเงินที่ต้องควักจ่ายเท่านั้น แต่ไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นจริงๆ เพราะทุกคนต้องตายอยู่แล้ว ทุกคนต้องพรากจากคนที่รักอยู่แล้ว ทุกคนต้องสูญเสียอยู่แล้วไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ซึ่งนักโฆษณานักการตลาดเองต่างก็รู้ดีตรงจุดนี้ว่าสินค้าและบริการของตนไม่ได้ช่วยใครจริงๆ(หรือรู้แต่ก็พยายามจะพูดให้มันดูดีกว่าความเป็นจริง) แต่ก็ยังจะขายของเพราะคนส่วนใหญ่ไม่มีปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่ถูกปกปิดเหล่านี้ได้เลย
และอย่างที่เคยบอกเอาไว้ในบทความตอนอื่นๆที่ผ่านมานั่นแหละครับ อุปสงค์ลวงก็มีเหตุจากตัณหาความโลภของมนุษย์ เป็นการเอาตัณหามาต่อยอดหากินกับตัณหาผู้บริโภคอีกทอดหนึ่ง ใครโง่ก็เสียเงิน และถ้าจะว่ากันจริงๆแล้ว หากมนุษย์โลกย้อนกลับคืนสู่สภาวะที่อุปสงค์และอุปทานเป็นไปตามปัจจัยพื้นฐานจริงๆในแบบเศรษฐกิจพอเพียงจริงๆ เศรษฐกิจโลกจะต้องหดตัวลงเล็กกว่าปัจจุบันมากมาย บริษัทและองค์กรแสวงหากำไรต่างๆจะล้มหายตายจากไปหมด เพราะบริษัททั้งหมดในโลกล้วนแต่หากินบนอุปสงค์ลวงทั้งนั้น และทุกอย่างที่เป็นทุนนิยมจะล่มสลายลง คนที่อิงอาศัยกับระบบทุนจนพึ่งพาตนเองไม่ได้ก็จะได้รับทุกข์เวทนาไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่าเราได้เตรียมการที่จะรองรับวิกฤตแต่เนิ่นๆเสียทั้งแต่วันนี้
ส่วนทางแก้เกมกลอุบายสร้างอุปสงค์ลวงเหล่านี้ไม่มีหรอกครับ เพราะทุกวันนี้เราอยู่ในยุคสมัยแห่งคนหลอกกินคน จะไปต่อต้านหรือไปฟ้องก็ไม่ได้ เพราะมันเป็นการหลอกลวงที่ถูกกฏหมาย เราทำได้เพียงแค่ขอให้เราเข้าใจพื้นฐานแห่งความเป็นมนุษย์เอาไว้ดีๆว่า เราทุกคนล้วนต้องเกิดแก่เจ็บตายหนีไม่พ้นกันทุกคนแม้กระทั่งนักโฆษณาหรือนักการตลาดเองก็ตาม ดังนั้นก็ไม่ต้องหวั่นไหวหวาดกลัวในสิ่งที่เขาพูดหรือสิ่งที่เขาสื่อเพื่อสร้างความกังวล ให้เรา เพราะแม้แต่คำพูดที่นักโฆษณาสื่อออกมาว่าเขาห่วงใยเราก็ไม่จริง เขาแค่ต้องการเงินจากเราเท่านั้น
และถ้านักโฆษณานักการตลาดทั้งหลายได้มาอ่านบทความนี้ ก็ขอให้รู้เอาไว้เถิดครับว่า ไม่มีใครเอาอะไรไปได้เลยสักคนเดียว ได้แค่พยายามกอบโกยไปกอดเอาไว้ชั่วคราว แถมสุดท้าย เอาอะไรไปเท่าไหร่ก็ต้องคืนแก่โลกจนหมดในที่สุด ไม่ว่าจะมีลูกหลานมาสืบทอดกี่รุ่นต่อกี่รุ่นก็เอาไปไม่ได้เหมือนกันทุกคน
ใครที่อ่านบทความนี้จบและเริ่มตระหนักถึงภัยแห่งปรากฏการณ์คนกินคนในระบบทุนที่กำลังใกล้ล่มสลายในวันนี้ ก็ขอให้เตรียมตัวเองและครอบครัวให้พร้อม ใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการดำเนินชีวิตเพื่อสร้างความแข็งแรงและยั่งยืนให้ตนเอง เมื่อถึงเวลาที่ระบบทุนล่มจริงๆ อย่างน้อยคุณก็จะได้ไม่ล่มตามมันไปครับ