คุณมันก็แค่ถ่านก้อนนึงของระบบทุนนิยมเท่านั้นแหละ |
ลองสำรวจตัวเองดูสิครับว่าคุณมีฝันแบบนี้หรือเปล่า
จบออกมาจากสถาบันดีๆ ทำงานดีๆ หาเงินให้มากๆ มีครอบครัวที่อบอุ่น มีลูกมีหลานน่ารัก มีบ้าน มีรถ มีที่ดิน มีทรัพย์สินเงินทอง เพื่อที่ว่าบั้นปลายชีวิตจะได้ไปอยู่บ้านพักตากอากาศดีๆ วิวดีๆที่ต่างจังหวัด ทำอะไรเล็กๆน้อย ใช้เงินที่เก็บหอมรอมริบมาทั้งชีวิตในการเสวยสุขโดยไม่ต้องทำงานจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต
ผมเชื่อว่าเราทุกคนฝันกันแบบนี้ครับ อย่างน้อยผมก็เคยน่ะนะ เรียกว่าใครฝันน่าสนใจ
ผมเก็บเล็กเก็บน้อยเอามันมาเป็นความฝันของผมหมดเลย
แต่สุดท้ายแล้วความฝันที่เราตั้งเอาไว้กลับกลายเป็นสิ่งที่มาไล่ล่าเรา บีบคั้นเรา กดดันเอากับเราจนความสุขในปัจจุบันเริ่มหายไป เหลือแต่ไอ้บ้าคนหนึ่งที่กระเสือกกระสนดิ้นรนเพื่อที่จะไปให้ถึงจุดหมายที่หมายมั่นว่ามันจะนำความสุขมาให้เราได้จริง โดยไม่รู้ตัวว่าไอ้ที่ดิ้นกระแด่วๆอยู่เนี่ย เพราะมันดันไปหาทุกข์ใส่ตัวทั้งนั้น
เชื่อเถอะครับถ้าคุณเอาแต่ทุกข์ไปเรื่อยๆ บีบคั้นตัวเองไปเรื่อยๆ เคี่ยวเข็ญตัวเองไปเรื่อยๆ สุดท้ายแล้วในวันที่คุณถึงจุดหมาย คุณก็จะไม่รู้เลยว่าความสุขที่ไม่ต้องก่อเหตุแห่งทุกข์ซ้ำซ้อนลงไปนั้นเป็นอย่างไร พูดง่ายๆคือคุณจะไม่มีวันพบความสุขที่แท้จริงเลย
คุณจะติดนิสัยหาเรื่องทุกข์ใส่ตัวได้ตลอดเวลาแล้วก็งงเองว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิต
เพราะความสุขที่แท้จริงไม่ใช่ความสุขประเภทหาอะไรมาดับทุกข์นะครับ ความสุขที่แท้จริงนั้นคือ การพ้นไปจากเหตุแห่งทุกข์ที่เราสร้างกันขึ้นมานั่นเอง
เอ...แล้วใครมาสร้างเหตุแห่งทุกข์ให้เรากันแน่หว่า...
การที่เรามีฝันแบบที่ว่ามาทั้งหมดนี้ ก็เพราะมาจากการสร้างภาพ สร้างเงื่อนไขของคนกลุ่มหนึ่งที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับด้านการเงิน
สินค้าประเภทอสังหาริมทรัพย์ วางตัวเป็นผู้เชื่ยวชาญเรื่องเงิน แต่สงสัยคงโง่เรื่องความทุกข์ ก็เลยคิดประดิษฐ์นวัตกรรมทางการเงินขึ้นมาเพื่อรองรับความฝันของคนชั้นกลางถึงรากหญ้าในระบบทุนนิยม ล่อให้มีความหวังว่าจะมีเงินเก็บเอาไว้ใช้ในบั้นปลายชีวิต
ผู้คนทั้งหลายจึงไขว่คว้าหาซื้อความมั่นคงในรูปแบบ การประกันภัย การประกันชีวิต กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนอะไรอีกมากมาย เพื่อที่จะทำให้ตนมีเงินมากที่สุด
เพียงพอที่จะอยู่อย่างสุขสบายในวัยเกษียณ
โดยทางเลือกอื่นถูกบิดเบือนปิดบังไปจนหมดสิ้น(เพราะมันไม่ทำเงิน) เพื่อบังคับให้เราซื้อๆๆๆๆๆๆนวัตกรรมทางด้านบริการและการเงินทั้งหลาย
ที่มีคนคอยบอกเราว่าจะทำให้ชีวิตในบั้นปลายของเรามีความสุข
แหม...ก็คนมันจะขายของน่ะช่วยไม่ได้ แถมเราก็โง่เองที่ดันไม่เข้าใจพระธรรมแต่ดันไปเชื่อพนักงานขายประกันมากกว่า ก็ไม่รู้จะโทษใครดี
ความเป็นจริงแล้ว ฝันวันเกษียณอันสวยหรูของทุกท่าน มันจะไม่มีวันเป็นจริงหรอกครับ ถ้าคุณมีฐานะทางการเงินต่ำกว่าขั้นเศรษฐี
และความซับซ้อนของกลไกการเงินที่น้อยคนจะรู้และเข้าใจมันจริงๆ ก็ทำให้ง่ายที่ทีมการตลาดจะเอาคำโฆษณาที่ชวยฝันมาแปะใส่นวัตกรรมทางการเงินที่คิดไปคิดมาแล้วไม่ได้ช่วยให้ชีวิตดีขึ้นแม้แต่น้อย
เสร็จแล้วก็ทำให้เราเคลิ้มไปกับผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้อย่างง่ายๆ หรือพูดอีกอย่าง
คือ เราถูกหลอกรับประทานน่ะครับ
สมมติว่าผมทำประกันชีวิตเอาไว้ด้วยทุนประกัน 7 แสน ผมก็ผ่อนไปเรื่อยๆ อาชีพการงานดีบ้างเลวบ้าง ช่วงไหนไม่ดีก็เครียดเพราะต้องหาเงินมาส่งประกัน พอมีเงินเยอะก็ต้องเสียภาษีเยอะ มันก็บีบให้เราต้องไปซื้อประกันหรือนวัตกรรมทางการเงินที่ถูกออกแบบมาให้ดูดเงินพวกเรา สุดท้ายพอรู้ตัวอีกที ภาระพ่วงพันก็เพียบจนขยับตัวไม่ได้ เพราะต้องส่งเงินจำนวนมากในการผ่อนค่างวด ชีวิตคนในระบบทุนจึงมีแต่ความเครียด คือมันขึ้นไปบนหิ้งแล้วลงไม่ได้ไง
แล้วรู้หรือเปล่าครับว่า มีงานวิจัยของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดชิ้นนหนึ่งสรุปว่า 95% ของโรคภัยไข้เจ็บของคนปัจจุบันนี้มาจากความเครียด!!!!
อ้าวทำงานเครียดตลอดชีวิตเพื่อที่จะเก็บเงินให้มีความสุขในบั้นปลาย ไม่คิดเหรอครับว่าตรรกะมันแปลกๆอยู่นะ
ด้วยเหตุนี้เองเมื่อถึงวัยเกษียณ คนทำงานส่วนใหญ่จึงมีโรคประจำตัวมากมายที่ต้องใช้เงินจำนวนมากในการรักษาตัว ไม่เชื่อก็ไปดูสิครับ เดี๋ยวนี้เป็นหวัดหน่อยเดียวเข้าโรงพยาบาลจ่ายไปเป็นพันแล้ว แล้วไอ้เชื้อหวัดเนี่ยมันรักษาไม่ได้ไง ได้แต่ระงับอาการแล้วให้นอนพักผ่อนเยอะๆเพื่อภูมิคุ้มกันในร่างกายจะได้ทำงานกำจัดเชื้อเอง นี่ตกลงเราจ่ายเงินเป็นพันเพื่ออะไรใครตอบหน่อย
ก็จ่ายเพื่อความผ่อนคลายสบายใจไงว่าอย่างน้อยได้หาหมอแล้วนะ แม้หมอจะทำได้แค่บรรเทาอาการก็ตาม
ในช่วงที่ผมทำงานประจำ ผมหาหมอเดือนละครั้งเป็นอย่างต่ำ สุขภาพย่ำแย่มาก แม้จะออกกำลังกายก็ไม่ค่อยช่วยเท่าไหร่ เพราะความเครียดรุมเร้า ต่อเมื่อได้ออกมาจากงานประจำ ความเครียดทั้งหลายก็เริ่มลดลง โรคต่างๆก็เริ่มลดลง ที่ตลกร้ายยิ่งกว่าคือ โรคประจำตัวอย่างภูมิแพ้ที่ผมรักษากับหมอแผนปัจจุบันมาเป็นสิบกว่าปีแต่ไม่หาย กลับมาหายเพราะการดื่มปัสสาวะพียงแค่สองสัปดาห์เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น โรคหยุดหายใจตอนกลางคืนที่ผมเป็นก็หายได้ด้วยการฝังเข็มแค่ไม่กี่ครั้ง ถูกยิ่งกว่าค่าหมอที่ต้องจ่ายเพื่อไปนอนให้หมอตรวจการนอนหลับเสียอีก ตลกไหมครับ
สิ่งนี้เองที่ทำให้ผมเริ่มเอะใจสงสัยและมองออกไปนอกระบบใหญ่ว่า สิ่งดีๆเหล่านี้มีอยู่แต่ทำไมเรากลับไม่รู้ ไปกระเสือกกระสนดิ้นนรนเสียเงินมากมายเพื่อที่จะรักษาอาการข้างเคียงของโรคไปเรื่อยๆตลอดชีวิต
นี่หรือแพทย์แผนปัจจุบัน จากคนขี้โรคเมื่อในอดีต
มาทุกวันนี้ผมไม่ได้ไปหาหมอมาเกือบสี่ปีแล้วครับ ขำกลิ้งเลยคุณเอ๋ย
และหลังจากที่ได้ไปอบรมเกษตรธรรมชาติที่ศูนย์เกษตรธรรชาติสองสลึงมาแล้ว ก็พบว่า ไอ้ภาพความฝันวันเกษียณของเรามันเป็นภาพมายานี่หว่า
ก็จะไม่ให้มายาได้ยังไง
ขณะที่เราส่งค่างวดประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ค่าเงินก็น้อยลงทุกวันๆ ข้าวจานหนึ่งก็แพงขึ้นทุกวันตามอัตราค่าแรง เงินเฟ้อ ฯลฯ ค่ารักษาพยาบาลก็แพงขึ้นทุกวัน สรุปรวมแล้วทุกอย่างแพงขึ้นทุกวันๆ เพราะทุกสิ่งที่เราซื้อ
นั่นคือเราแบกต้นทุนของทุกคนอยู่ตลอดเวลา เมื่อค่าแรงขึ้นทุกครั้งข้าวปลาอาหารและบริการต่างๆที่จะมาทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นมันก็ขึ้นราคาตลอดไล่ไม่ทัน ซึ่งก็ไม่แน่ว่าคุณจะได้ขึ้นเงินเดือนในอัตราสูงขึ้นกว่ามาตรฐานการปรับฐานเงินเดือนหรือไม่
ก็แล้วแต่เจ้านายจะกรุณา หรือพูดง่ายๆว่าโชคชะตานั่นแหละ แล้วคุณคิดเหรอว่าไอ้เงิน 7 แสนตามวงเงินประกันชีวิตที่ผมผ่อนมาเป็นสิบปีจะเอาอยู่ตอนผมเกษียณ เงินแค่ 7 แสนถึงตอนนั้นก็มีค่านิดเดียวเองครับ แล้วมันจะเลี้ยงเราจนถึงวันตายได้ยังไงเล่า
ตัวผมเองออกจากระบบประกันชีวิตมาปีกว่าๆแล้ว เวรคืนจนหมด มีความสุขมาก เพราะมันไม่เครียดต้องหาค่างวดไปส่งมัน โรคต่างๆก็เลยหายไป ร่างกายแข็งแรงขึ้นกว่าเก่าเยอะ เรียกว่าผมเอาเหตุแห่งทุกข์ออกไปมันก็จบตรงนั้นทันที
แล้วที่ตลกไปกว่านั้นคือถ้าผมทำงานเครียดจนถึงวันเกษียณ จบชีวิตการทำงานด้วยโรครุมเร้ามากมาย คุณคิดเหรอว่าเงิน 7 แสนในวันนี้จะมีค่าเท่าเดิมในอีกยี่สิบปีถัดไป ผมว่าค่ารักษาไข้หวัดตอนนั้นคงจะพุ่งถึงหมี่นแน่ๆ และเงิน 7 แสนที่เราเก็บออกในวันนี้จะกลายเป็นเพียงค่าขนมของหมอไปในเวลาไม่นานเลย อันนี้ไม่ได้โทษคุณหมอนะครับ แต่ปัญหามันอยู่ที่ระบบทุนนั่นแหละ
นอกจากนั้นค่าอาหารที่แพงขึ้นเรื่อยๆก็เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ คุณคิดเหรอว่าวันนี้เรากินข้าว 3 มื้อ พอเราเกษียณเราจะกินข้าวน้อยกว่านี้ มันก็กินเท่าเดิมนั่นแหละครับ แต่ค่าอาหารจะแพงขึ้นอีกหลายเท่าตัว เงิน 7 แสนที่คุณคิดว่าจะใช้บั้นปลายมันก็แทบจะไม่มีค่าอะไรเลยเมื่อถึงเวลานั้น
อาจจจะมีคนเถียงว่า ถ้าไม่มีประกันชีวิตมันก็เสี่ยงเวลาเกิดอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วยตายจนทำให้คนในครอบครัวเดือดร้อนเรื่องค่ารักษาพยาบาล ซึ่งเราก็รู้กันอยู่แล้วว่า ถ้ารักจะอยู่ในระบบทุนนิยมให้มีความสุข คุณต้องห้ามป่วยหนัก ห้ามตาย ไม่อย่างนั้นครอบครัวหมดตัวแน่ๆ ถึงตรงนี้ก็ถามกลับครับว่าเราอยู่ในระบบสาธารณสุขแบบใด? ทำไมค่ารักษาพยาบาลจึงได้เป็นอันตรายต่อสุขภาพพอๆกับตัวโรคเอง?
จริงๆไอ้ทั้งหมดนี่มันก็เกิดขึ้นเพราะความกลัวนั่นแหละครับ เราถูกหลอกให้กลัวว่าชีวิตจะไม่มั่นคง จะไม่ดี จะไม่ปลอดภัย เราก็เลยซื้อหลักประกันมากมายมาแบกเอาไว้ ให้ปลอดภัย แต่มันก็ตึงเครียดบีบคั้นไปด้วยในเวลาเดียวกันแล้วมันก็กลายเป็นวงจรอุบาทว์ที่พาโรคมาหาเราอีก ทีนี้ยังจะปลอดภัยกันอีกไหม?
ทุกวันนี้เรามีทางเลือกในการรักษาโรค รักษาสุขภาพราคาถูกกันมากมาย ผลการรักษาก็ไม่น้อยหน้าแพทย์แผนปัจจุบันด้วย เผลอๆหลายอย่างจะดีก่ว่าด้วยซ้ำ
เพราะแก้ที่ต้นเหตุ แต่เราก็ไม่ชอบเพราะเราถูกครอบงำว่าของดีต้องแพง ต้องหรูหรา ไฮเทค แบบบ้านๆเราไม่เชื่อถือ
เราก็เลยต้องหาเงินเป็นทาสของระบบต่อไป ทั้งๆที่มีภูมิปัญญาแพทย์ทางเลือกเกิดขึ้นเพื่อช่วยปลดแอกแล้วแท้ๆ
แล้วถ้าพูดถึงความตายนะครับ ไม่ต้องไปกลัวมันหรอก ตายทุกคนอยู่แล้ว เอาหัวเป็นประกันเลย 555
ปัญหาคือมันก็ไปเลือกกันไงว่าอยากจะตายดีหน่อย ตายตอนแก่ๆหมดสภาพ ตายแบบยื้อๆหน่อย(แต่ยังไงก็ตาย)
ซึ่งตายแบบนี้น่ะใช้เงินเยอะครับ ดีไม่ดีลูกหลานหมดตัว แถมได้ตายแบบไม่อยากตายอีก น่าสงสาร
ก็ให้ระลึกเอาไว้เลยครับว่าตายทุกคน แล้วมันก็อยู่ถึงวันตายทุกคน ไม่มีเว้น ไม่ว่าจะตายเร็วตายช้าก็ตายหมด ไม่ต้องไปเลือกเอาหรอกว่าอยากจะตายแบบไหน ทุกข์เสียเปล่าๆ จะตายก็ตาย ก็แค่ตาย จบ ระหว่างมีลมหายใจอยู่มันจะได้ไม่ทุกข์ให้เสียของ เมื่อรู้แบบนี้มันก็ไม่ต้องไปกังวลอะไรมาก อย่าไปเอาความกลัวที่นักการตลาดนักโฆษณายัดใส่หัวเรามาเป็นกังวลอีกเลย เห็นกังวลยังไง เห็นเตรียมตัวดียังไง ก็ตายทุกคนไม่เหลือ...หรือว่าไม่จริง เถียงได้นะครับ
ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้เอง ทำให้ความฝันวันเกษียณของคนในระบบทุน จะไม่เป็นจริงตามที่ฝันเลย เพราะคนที่เกษียณแล้วก็ยังต้องแบกต้นทุนของคนที่ทำงานในระบบอยู่จนกว่าจะตาย ที่เห็นว่าเกษียณไม่ต้องทำงานแล้วนั่น
แท้จริงก็ยังต้องเป็นทาสส่งส่วยให้ระบบทุนจนลมหายใจสุดท้าย
อ่านถึงตรงนี้หลายคนคงจะตลกมุกผมไม่ออก...ทีนี้แล้วจะทำยังไงดี?
เอาไว้มาว่ากันต่อตอนหน้าก็แล้วกันครับ
No comments:
Post a Comment