Monday, September 17, 2012

งานวิจัยกำมะลอ

ผมเคยสับสนกับงานวิจัยอาหารอยู่สองตัว ที่ผลการวิจัยออกมาขัดแย้งกันเสมอ นั่นก็คือ กาแฟ กับ ไข่ไก่

ไม่รู้ใครเคยเห็นงานวิจัยที่ขัดแย้งกันเองสำหรับอาหารสองอย่างนี้เหมือนผมหรือเปล่านะครับ แต่ผมเห็นมันมาตลอด จนเมื่อเร็วๆนี้ก็ยังเห็นความขัดแย้งในผลการวิจัยไข่ไก่ที่เกิดขึ้นอยู่เลย

งานวิจัยบางงานบ่งบอกว่ากาแฟเป็นพิษต่อร่างกาย ดื่มแล้วจะเป็นพิษสะสมในร่างกายทำให้สุขภาพไม่ดี
แต่งานวิจัยที่ออกมาทีหลังก็แก้ไขความขัดแย้งว่า ดื่มกาแฟในปริมาณพอเหมาะจะช่วยให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า หัวใจทำงานได้ดีขึ้น จากนั้นมา ผมก็เห็นผลของงานวิจัยกาแฟออกมาขัดแย้งกันอยู่อย่างนี้ตลอด

เรามาที่ไข่ไก่บ้าง ผลของงานวิจัยล่าสุดที่ผมได้อ่านจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐบอกว่า กินไข่ไก่มากๆทำให้เกิดคอเลสเตอรอลในเลือดสูง แต่ก่อนหน้านั้นก็มีงานวิจัยเกี่ยวกับไข่ไก่ออกมาหลายงานแล้ว ซึ่งผลการวิจัยก็ขัดแย้งกันเองมาตลอด บางงานวิจัยว่ากินไข่ไก่ไม่ได้มีผลต่อคอเลสเตอรอลในเลือด บางงานวิจัยก็ว่าทำให้คอเลสเตอรอลสูง

เชื่อหรือเปล่าครับว่า ตั้งแต่งานวิจัยอาหารสองอย่างนี้ออกมาขัดแย้งกันเองเป็นพัลวัน ผมก็ไม่เคยเชื่องานวิจัยบ้าๆบอๆของฝรั่งอีกเลย เพราะที่สุดแล้วมันได้กลายเป็นเครื่องมือหนึ่งในการประชาสัมพันธ์และโฆษณาขายของไปแล้ว

ถ้าถามผมว่างานวิจัยเกี่ยวกับอาหารหรือสินค้าเกี่ยวกับสุขภาพในปัจจุบันมีความน่าเชื่อถือขนาดไหน สำหรับผม ให้ค่าความน่าเชื่อถือเป็น 0% ครับ เพราะมันก็มุ่งแต่จะขายของอย่างเดียวนั่นแหละ

และโดยความเป็นจริงที่เจ้าของสินค้าไม่เคยบอกกล่าวผู้บริโภค งานวิจัยทั้งหลายที่ออกมานั้น ก็เป็นเพียงเครื่องมือที่จะขายของให้แก่ เหล่าปัญญาชนทั้งหลายที่มีการศึกษาสูง ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ก็เลยต้องมีงานวิจัยมารับรองเสียหน่อย ซึ่งถ้าจะถามกันจริงๆว่า ใครรู้บ้าง งานวิจัยนั้นๆ มีการกำหนดค่าตัวแปรอย่างไร ปัจจัยควบคุมเป็นอย่างไร แล้วตั้งธงเอาไว้เพื่อทำวิจัยสนับสนุนสินค้าตนหรือไม่...ไม่มีใครรู้นะครับ เท่าที่เราได้เห็นคือ มีภาพโฆษณา หาคนมาใส่เสื้อกราวนด์แล้วพูดรับรอง พร้อมกับเอฟเฟคต์ด้านภาพที่แสดงให้เห็นว่าผลการวิจัยออกมาเป็นแบบนั้นจริงๆ

งานวิจัยได้กลายเป็นเครื่องมือในการโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้าไปตั้งแต่เมื่อไหร่ผมไม่แน่ใจ แต่มันไม่ใช่งานที่น่าเชื่อถืออีกต่อไปแล้ว เพราะเจตนาในการใช้งานวิจัยทั้งหลายนั้นก็เพราะใช้ในการขายของอย่างเดียวนั่นแหละ ด้วยเหตุนี้ทำให้มันหมดคุณค่าโดยตัวมันเอง ส่วนงานวิจัยที่ไม่ทำเงินหรือขัดขวางการทำเงินแต่มีประโยชน์กับมนุษยชาติก็จะไม่เกิดขึ้น เพราะมีคนกลุ่มหนึ่งต้องการให้เปิดเป็นช่องว่างในการหาเงินในอนาคตหรือที่เรียกกันหรูๆว่า Blue Ocean นั่นแหละ

ส่วนไอ้คนที่คิดว่าตัวเองฉลาด คอยดูผลการวิจัยก่อนก็ตื่นได้แล้วนะครับ เพราะมันก็เป็นเพียงทริกในการขายของอีกอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง เป็นทริกที่สร้างขึ้นมาเพื่อหลอกคนที่คิดว่าตัวเองฉลาดนี่แหละ

ซึ่งการใช้ผลการวิจัยมาขายของนั้นจะเกิดขึ้นเฉพาะแค่ในสังคมปัญญาชนครับ เพราะโดยธรรมชาติของปัญญาชนนั้นชอบที่จะรู้ข้อมูลก่อน แล้วค่อยเลือกบริโภค และระบบการศึกษาก็สอนมาว่าสินค้าควรจะต้องได้รับมาตรฐานอันนั้นอันนี้ ต้องมีหน่วยงานนี้รับรอง ต้องมีงานวิจัยรับรอง มีความสะอาดปลอดภัยจากสารพิษ ถามจริงๆเถอะว่าก่อนหน้าที่จะมีวันนี้ บรรพบุรุษของเราเขาใช้ชีวิตมาได้ยังไงโดยไม่มีสิ่งต่างๆเหล่านี้ คุณกินกล้วยน้ำว้าไม่ติดยี่ห้อที่ซื้อมาจากตลาดไหม? คุณรู้หรือไม่ว่าโรงงานผลิตอาหารมันก็ใช้สารเคมีในกระบวนการผลิตทั้งนั้นแหละ มันก็แค่ระบบตรรกครึ่งๆกลางๆที่ถูกสอนกันมาเพื่อให้เรารุ้สึกว่ามีชีวิตที่ดีขึ้นเท่านั้นเอง แต่ลองดูจริงๆสิครับว่าทำไมสังคมศิวิไลสมัยนี้จึงมีคนป่วยด้วยโรคต่างๆเพิ่มขึ้นสวนทางกับความเจริญ ทีนี้ฉลาดขึ้นบ้างหรือยัง

จะบอกให้ว่าผู้เฒ่าผู้แก่หลายท่านมีชีวิตอย่างแข็งแรงจวบจนอายุเฉียดร้อย โดยที่ไม่มีสิ่งต่างๆซึ่งปัญญาชนทั้งหลายยึดถือเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีเหล่านี้เลยแม้แต่นิดเดียว...ถึงเวลาขำแล้ว เอ้าขำสิครับ

ที่เราถูกหลอกก็เพราะ สัญชาติญาณหรือปัญญาญาณในการสังเกตธรรมชาติในตัวและรอบตัวนั้นมันถูกกดเอาไว้ด้วยกระบวนการแห่งตรรกะที่ลักลั่น มีช่องโหว่ และใช้การไม่ได้จริง เพราะเราตั้งโจทย์เอาไว้กับชีวิตว่าเราจะกินแต่ของดีๆ ซึ่งผู้ผลิตสินค้าและนักโฆษณาก็ใช้ช่องตรงนี้หลอกเงินเรานั่นแหละครับ เพราะเขาก็บอกว่าของเขาดีไง จบไหม ควักเงินของคุณมาเลย เอาของดีไป

ก็ที่มันดีก็เพราะเขาอยากขายนะครับ ไม่ใช่ว่าจะดีต่อสุขภาพเราจริงๆ

จะให้หลุดพ้นจากวงจรนี้ คุณก็ไม่ต้องไปสนใจงานวิจงวิจัยอะไรหรอกครับ งานวิจัยที่ใช้ขายของล้วนบิดเบือนทั้งนั้น แล้วก็ไม่ต้องไปตั้งโจทย์ด้วยว่าจะบริโภคแต่สินค้าที่ดีที่สุด เพราะถ้าคุณตั้งโจทย์แบบนี้ เอาแค่เหลือบตาไปดูโฆษณาหน่อยเดียว เขาเขียนบทให้พูดตอบโจทย์คุณนิดเดียว คุณก็เสร็จเขาแล้ว

มันก็แค่ทำอะไรให้พอดีๆ ไม่ต้องมาก ไม่ต้องเยอะ ไม่ต้องจัดจ้าน ไม่ต้องดีที่สุด เพราะไอ้คำว่าดีที่สุดนั้นมันเป็นคำขายของเท่านั้นเองครับ

No comments:

Post a Comment