Friday, March 29, 2013

พุงปลาและตาอยู่

นี่คือเนื้อแท้ของระบบทุนนิยมครับ
เด็กรุ่นใหม่ๆคงจะงงกับชื่อเรื่อง แต่คนรุ่นกลางเก่ากลางใหม่หรือวัยกลางคนคงจะเคย ได้ยินเพลง "ตาอินกะตานา" อันมีเนื้อหาว่าทั้งสองหาปลาเอามากินกัน แต่ตาอยู่มาเดี๋ยวเดียวก็คว้าพุงปลาไปกินซะงั้น

โดยนัยของพุงปลานั้น คนรุ่นเก่าๆจะบอกว่ามันเป็นส่วนที่อร่อยที่สุดของปลาครับ หรือตีความได้ว่ามันเป็นส่วนที่มีค่ามากที่สุดของปลานั่นเอง

ในสมัยก่อนที่บรรพบุรุษของเราปลุกข้าวปลูกผักกินเองนั้น ชีวิตช่างเรียบง่ายเหลือเกิน ปลูกเองกินเอง ปลูกเพื่อกิน มันถูกบังคับให้มีกินก่อน จะดิ้นไปสุรุ่ยสุร่ายไม่ได้เลย เหลือก็แบ่งปัน ทำบุญ ถ้าเหลือจากแบ่งปันก็ค่อยเอาไปขาย ถ้าใครคุ้นๆหลักการนี้ ก็ไม่ต้องแปลกใจครับ เพราะหลักการนี้ก็คือหลักเศรษฐกิจพอเพียง ที่เน้นว่าให้เราท้องอิ่มก่อน อุดมสมบูรณ์ก่อนแล้วค่อยเกื้อกูลค้าขาย เวลาออกไปขายของจะได้ไม่ดูเหมือนเปรตหิวเงิน

แต่เมื่อระบบทุนนิยมเข้ามาด้วยหลักการที่ว่าเปลี่ยนทรัพย์สินให้เป็นทุน ใช้เงินตราเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน เพื่อความสะดวก ซึ่งแรกๆนั้นมันก็สะดวกจริง แต่พอถึงจุดหนึ่งที่ระบบทุนนิยมเปลี่ยนไปกลายเป็นทุนนิยมแบบเปรตคือหลอกล่อแย่งชิงเงินและทรัพยากรกันอย่างบ้าคลั่ง เงินก็เลยกลายเป็นวัตถุอันตรายไปในทันที เพราะกลายเป็นพุงปลาให้ตาอยู่เข้ามาคว้าไปกิน

ซึ่งกระบวนการคว้าพุงปลาของตาอยู่เกิดด้วยขั้นตอนนี้ครับ

จากที่เราเคยปลูกเองกินเองจากในอดีต บังคับให้ตัวเองอิ่มก่อนแล้วค่อยขยับขยาย มาวันนี้รุ่นเราๆต้องทำงานหนักเพื่อให้ได้เงินมาซื้อข้าวกินถูกไหมครับ พอได้เงินมา โดยเชิงจิตวิทยา เราก็จะรู้สึกว่าตัวเองมีอำนาจขึ้นมา ขณะที่เวลาเรากินข้าว กินได้แค่วันละ 3 มื้อ เงินที่ใช้กินข้าวแต่ละมื้อก็ไม่มาก แต่พอมีเงินก้อนอยู่ในมือมากๆ มันก็จะทำให้รู้สึกว่ามีอำนาจ(ปลอมๆ)ขึ้นมา ว่าแล้วตาอยู่ก็ทำสินค้าและบริการขึ้นมาเพื่อดูดเงิน ประเคนโฆษณาเข้าไปให้คลิ้ม อัดโปรโมชั่นเข้าไปให้เนื้อตัวเราสั่นระริกเพราะความอยากได้อยากมี เสร็จแล้วเขาก็ดูดเงินออกจากกระเป๋าเราเข้ากระเป๋าเขา ทั้งๆที่เพิ่งได้เงินจากกระเป๋าเขามาไม่นานเลย นี่คือความเป็นจริงเบื้องหลังปรากฏการณ์ชักหน้าไม่ถึงหลังของลูกจ้างทั่วโลก

ไม่เท่านั้นนะครับ บัตรเครดิต บัตรเดบิตและสถาบันการเงินทั้งหลายก็ทำให้เราเสียนิสัยอีกด้วยการรวมหัวกับนายทุนเพื่ออำนวยความสะดวกในการปล้นเงินออกจากกระเป๋าเรา โดยให้เครดิตเรา ให้สินเชื่อเรา ให้เราแบ่งจ่ายซึ่งดูเหมือนผ่อนภาระ แต่จริงๆจะให้เราตัดสินใจแบกภาระนั้นได้ง่ายขึ้นเร็วขึ้น ซึ่งในความเป็นจริงขนาดของภาระก็เท่าเดิมนั่นแหละแต่โดนเขาทำคุณไสยผ่านกลไกการเงินหลอกเอาว่าแบ่งเบาภาระ เพื่อที่จะให้เราได้นำเงินในอนาคตทั้งหมดมาใช้ได้อย่างรวดเร็ว เป็นการประกันรายได้ให้กับนายทุนและสถาบันการเงินในระยะยาว ทำให้เราต้องตกเป็นทาสหนี้ทำงานหนักปั๊มเงินส่งสถาบันการเงินไปจนตาย ที่ตลกมากๆก็คือพวกสถาบันการเงินนี่แหละที่ออกมาพูดเตือนให้เราอย่าใช้เงินฟุ่มเฟือย ก็มันเล่นส่งเสริมการใช้จ่ายโดยให้เครดิตเองน่ะนะ ขัดแย้งกับพฤติกรรมของตนแบบนี้มันก็ตลกเป็นธรรมดา หรือว่าไม่จริง

ครั้นพอมนุษย์เงินเดือนทั้งหลายจะเก็บเงินเพื่ออนาคตหรือเพื่อเกษียณ ค่าเงินก็ดันเฟ้อตลอด ต่ำลงตลอด แต่โดยภาวะจำยอมที่กลายเป็นทาสหนี้ไปแล้ว ก็เลยต้องเดินหน้าไปตามเส้นทางเดิมที่บอกได้เลยว่าตันแน่ๆ เพราะค่าเงินของเงินที่อยู่ในบัญชีเราถูกปล้นออกไปทุกวินาที ถึงขนาดที่พอได้เงินมาแล้วเราก็ต้องเอาเงินไปลงทุนต่อเพื่อไม่ให้มันด้อยค่าลงอีก กลายเป็นชีวิตที่เหนื่อยซ้ำซากซ้ำซ้อน กลายเป็นทาสเงินขนาดที่ว่าบางคนแม้วันหยุดก็ยังต้องทำงาน หรือต้องรับโทรศัพท์ดึกๆดื่นๆชนิดที่เงินค่าจ้างก็นิดเดียวแต่เหมือนเขาซื้อเราทั้งชีวิต ตลกออกกันไหมครับ

ทั้งหมดทั้งมวลนี้คงทำให้หลายๆคนตาสว่างมากขึ้นเสียที เพราะโดยความเป็นจริงแล้วสินค้าและบริการทุกอย่างที่ผู้ผลิตทั้งหลายนำมาเสนอขายเรานั้น หากขายกันตรงๆโดยไม่ผ่านโฆษณาและการบิดเบือนความจริง มันก็คือภาระทั้งนั้น ผู้ผลิตก็รู้เพราะเขาทำมาเพื่อเอากำไร เอารวย แต่พอเขียนคำโฆษณากลบเกลื่อนเข้าไปหน่อย อัดโปรโมชั่นโดยใช้คำพูดที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนว่ายิ่งซื้อยิ่งได้ใส่เข้าไป แค่นี้ก็สามารถพลิกความรู้สึกติดลบในครั้งแรกของเราขึ้นมาจนกลายเป็นว่าเราอยากจะซื้อสินค้าและบริการนั้นทันที นี่คือชั้นเชิงของตาอยู่ในการหลอกกินพุงปลาของเราล่ะครับ

การอาศัยอยู่ในระบบทุนนิยมมันยากที่ตรงนี้ล่ะครับ เพราะมันมีเรื่องราวที่สนองอยากของเราหรือสร้างความอยากอย่างใหม่ๆให้เราตลอดเวลา เงินในกระเป๋าของเราจึงตกอยู่ในอันตรายแม้เราจะไม่ได้ใช้มันก็ตาม นี่คือเหตุทั้งหมดที่ทำให้การอดออมกลายเป็นภาพฝันในอดีตไปนานแล้ว

และ ณ ปัจจุบัน สถานการณ์ที่ทรัพยากรโลกเริ่มน้อยลง การแก่งแย่งแข่งขัน เบียดเบียนจึงมากขึ้น การหลอกลวงล้วงกระเป๋าเงินจากเรารุนแรงหนักหน่วงขึ้น สังเกตได้จากสถานการณ์อีกซีกโลกที่ความล่มสลายของคนชั้นกลางในอเมริกาเป็นไปอย่างรุนแรงจนเกิดกระแสการต่อต้านระบบทุนสามานย์ขึ้นทั่วประเทศ ซึ่งบอกตรงๆว่าไม่สำเร็จหรอกครับ อเมริกามันไม่ได้เป็นประเทศตั้งนานแล้วครับ แต่ประเทศนี้มันกลายเป็นธุรกิจไปหมดแล้ว

ส่วนคนไทยยังโชคดีที่ยังไม่ได้ลงเหวไปตามเขาเต็มตัว แต่ก็อย่าดีใจนะครับ เพราะเรากำลังตามเขาลงนรกไปติดๆ ซึ่งพูดกันตามตรงว่าในหลวงท่านทรงเตือนคนไทยโดยอ้อมมานานกว่า 40 ปีแล้ว พระองค์ท่านพร่ำบอกตลอดเวลา แต่คนไทยก็ไม่ฟังพระองค์ท่านเสียที วันนี้ก็ขอตีกบาลคนไทยแรงๆสักทีจะได้ตื่นขึ้นเผชิญความจริงที่ว่า เรากำลังยืนอยุ่ตรงประตูนรกแล้ว

หวังว่าจากน้ไปคนไทยจะหันมาพึ่งพาตนเองให้มากที่สุด ตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกจากชีวิตให้มากที่สุด ในทุกระดับ ลดละเลิกความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมอย่างใหม่ๆจากต่างชาติกันเสียที เพราะมันเป็นวิถีทางสู่ความยากจนคับแค้นที่ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่เป็นความคับแค้นในทุกเรื่องของชีวิตเลยทีเดียว

และถ้าไม่ตื่นแล้วกลับหลังหันกันตอนนี้ ถึงเวลาลงนรกจริงๆก็คงต้องเรียนรู้กันจากความเจ็บปวดล่ะครับ

No comments:

Post a Comment