ตั้งแต่เกิดมาจนโตป่านนี้ เราถูกสอนว่าเงินเป็นสิ่งจำเป็น เงินเป็นเรื่องสำคัญที่สุด สภาพแวดล้อมที่เราอยู่ในระบบทุนก็เป็นแบบนั้น ทุกคนที่มีทรัพย์สินอยู่ ก็พยายามเปลี่ยนทุกอย่างให้เป็นเงิน จึงกลายเป็นค่านิยมว่ามีเงินแล้วจะร่ำรวย มั่งคั่ง งานหรืออะไรก็ตามที่ไม่ได้เงินกลับกลายเป็นสิ่งไร้ค่าไป ถึงขนาดที่ว่าการให้เงินก็คือการแสดงความรักไปแล้วก็มี
ด้วยค่านิยมที่เชิดชูเงินเป็นใหญ่แบบนี้เองที่ทำให้ทุกคนวิ่งหาเงินอย่างเอาเป็นเอาตาย ทำทุกวิถีทางแม้บางครั้งจะโลภจนน่าเกลียดแต่ก็พร่ำบอกตัวเองว่าด้านได้อายอด จนหลายๆคนหน้าตาดูเป็นเปรตมากกว่าคนไปแล้วก็มี
แต่ทำไมคนที่มีเงินมากๆก็ยังวิ่งหา แสวงหาไม่หยุดหย่อน คนที่มีเงินเก็บจำนวนมากก็ยังต้องทำให้เงินมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ จนคนที่ดูเหมือนว่าจะมีอิสรภาพทางการเงิน กลับกลายเป็นทาสของเงินไปเสียได้
จะบอกให้ก็ได้ว่าเงินไม่ได้แสดงความมั่งคั่งจริงๆหรอกนะครับ เพราะอะไร?
งานนี้ต้องย้อนไปดูประวัติศาสตร์ของเงินเสียเล็กน้อย แต่คงจะไม่เล่าแบบเป็นทางการนะครับ เอาแค่พอให้เห็นภาพก็พอแล้ว
เมื่อก่อน โลกเราอยู่ได้ด้วยการแลกเปลี่ยนสิ่งของ หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Barter trade แต่พอมาวันหนึ่งก็มีคนคิดระบบเงินขึ้นเพื่อเป็นตัวกลางแลกเปลี่ยนสินค้า จากนั้นมาสินค้าและบริการทุกชนิดก็อ้างอิงค่าในระบบเงิน
ถ้าเงินเป็นแค่ตัวกลางในการแลกเปลี่ยนก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่คล้อยหลังจากการถือกำเนิดของเงินได้ไม่นาน ก็เกิดระบบการค้าเงิน การปั่นเงิน การสร้างมูลค่าเพิ่มของเงินขึ้นมาอีกมากมาย มูลค่าที่สร้างขึ้นจากการอุปโลกน์เอาในอากาศไม่มีสินค้าจริงที่จะรองรับ จนกลายเป็ฯฟองสบู่ และแล้วความฉิบหายแห่งระบบทุนก็เริ่มขึ้นจากตรงนั้นจนมาถึงวันนี้ในปัจจุบัน
ณ ปัจจุบัน "เงิน" ได้กลายเป็นสิ่งซับซ้อนยากที่คนธรรมดาจะเข้าใจถึงเบื้องลึกเบื้องหลังของมันได้ ซับซ้อนแค่ไหนอันนี้ต้องไปดูตลาดเงิน ตลาดทุนหรือธนาคารที่ต้องอาศัยซอฟแวร์การคำนวณอันสลับซับซ้อนที่มี่ราคาแสนแพง ซึ่งคนทั่วไปหมดสิทธิ์จะเข้าถึง
เงินที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเราจึงเป็นเพียงภาพมายาของวัสดุที่ใช้แทนเงินเท่านั้น ส่วนมูลค่าจริงนั้นถูกปั่นและถูกเดิมพันในสงครามค้าเงินที่เราไม่เคยได้รับรู้แม้แต่น้อย เรื่องนี้คนอาร์เจนติน่ารู้ดีตอนที่ถูกลดค่าเงินจนแทบไม่เหลือมูลค่าอะไรเลย เศรษฐกิจล่มในครั้งนั้นส่งผลให้ค่าเงินในบัญชีที่คิดว่าปลอดภัยแล้วลดลงไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง ทำให้คนฆ่าตัวตายกันมากมาย หรือคนไทยก็เคยเจอตอนวิกฤตต้มยำกุ้งที่ทำให้บางคนเป็นหนี้เพิ่มขึ้นมากมายในชั่วข้ามคืน
เงินที่เป็นเหรียญหรือธนบัตรที่จับต้องได้นั้นจึงเป็นเพียงมายาการที่ไม่มีค่าอะไรจริงๆ และคนที่กำหนดค่าเงินที่อยู่ในบัญชีเงินฝากของเราก็ได้แก่คนประเภท วอร์เร็น บัฟเฟตต์ และกองทุนเฮดจ์ฟันด์ทั้งหลายที่ทำตัวเป็นโจรสลัดปล้นค่าเงินของประเทศต่างๆไปเรื่อย ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้เอง จึงทำให้เงินไม่ใช่ความมั่งคั่งที่แท้จริงและไม่ใช่สิ่งที่จะให้ความมั่นคงกับใครอีกต่อไป
ตลาดหุ้น ตลาดทุน ตลาดเงินทุกวันนี้จึงมีสภาพเป็นฟองสบู่โดยตัวมันเอง ทุกคนค้าหลักทรัพย์กันบนภาพมายาที่สร้างขึ้นหลอกกันและกัน
ดังนั้นคนที่คิดขวนขวายทำงานหนักเพื่อที่จะเก็บเงินเอาไว้ใช้ยามแก่ก็คงต้องคิดกันใหม่แล้วครับ ตลาดเงินไม่ใช่ที่ทางของคนตัวเล็กๆที่จะซ่อนตัวอย่างปลอดภัยอีกแล้ว ต่อให้เก็บเงินไว้ในเซฟอย่างดี ก็ยังมีคนมาปล้นมูลค่าของมันออกไปได้ทุกวัน แล้วมันจะปลอดภัยจริงๆได้ยังไง?
แล้วจะทำยังไงเล่าให้ชีวิตมันมั่นคงปลอดภัย?
คำตอบอาจจะสุดโต่งสำหรับคนส่วนใหญ่ที่เกิด เติบโต ใช้ชีวิตและหาเลี้ยงตัวเองในระบบทุนนิยม คำตอบที่ว่าก็คือ ต้องออกจากระบบทุนไปเลยครับ หรืออย่างน้อยก็ต้องลดอิทธิพลของระบบทุนที่มีต่อปัจจัยสี่ให้มากที่สุด
เพราะอะไรครับ
เพราะระบบทุนนิยมทั้งหมดในปัจจุบันคือความแปรปรวนอย่างที่สุด ทุกวันนี้เราแทบจะไม่รู้แล้วว่ามูลค่าอะไรมันอ้างอิงกับอะไรบ้าง ปัจจัยในการเปลี่ยนแปลงมูลค่าของเงินมันมากมายจนต้องใช้โปรแกรมคำนวณชั้นสูง อย่างนี้จะไม่อันตรายได้ยังไง คนธรรมดาไม่มีวันที่จะชนะในเกมค่าเงินแน่นอน ดังนั้นเราต้องออกไปจากระบบทุน หรือพึ่งพาระบบทุนให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
ผมจำได้ว่าเคยดูวิดีโอคลิปอันหนึ่งที่พ่อคำเดื่อง ภาษีปราชญ์ชาวบ้านใน จ.บุรีรัมย์ได้เอาไม้สักมาทำเล้าหมู สร้างความตกตะลึงให้คนเมืองที่ไปพบเห็นเป็นอย่างยิ่ง ก็เพราะว่าระบบมูลค่านั้นค้ำคอคนเมืองอยู่ แต่กับพ่อคำเดื่อง ท่านไม่ได้สนใจตรงนั้นแม้แต่น้อย ท่านบอกว่า ท่านซื้อกล้าสักมาแค่ต้นละ 3 บาท จะให้ท่านไปซื้อไม้อย่างอื่นมาทำเล้าหมูมันใช้เงินมากกว่าเป็นไหนๆ เรียกว่าพ่อคำเดื่องตบหน้าระบบทุนจนหันกันเลยทีเดียว
มีอีกอย่างหนึ่งที่ระบบทุนถนัดมากก็คือ ทำให้ทุกอย่างดูยุ่งยากซับซ้อน เสร็จแล้วก็ปกปิดความยุ่งยากด้วยกรรมวิธีที่จดสิทธิบัติหรือลิขสิทธิ์แล้ว ก่อนนำออกมาขายให้ผู้คนทั้งหลายแล้วก็โฆษณาว่ามันจะทำให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น ดีขึ้น...เพียงแต่คุณต้องกระเสือกกระสนหาเงินมาจ่ายเรานะ
มูลค่าทุกอย่างในระบบทุนล้วนแต่เป็นภาพมายาแห่งฟองสบู่ของมูลค่า มูลค่าที่เกินจริง มูลค่าที่ไม่มีจริง ค่าเงินทุกสกุลก็เป็นมายาไปด้วย นี่คือเหตุที่อาจารย์ยักษ์ วิวัฒน์ ศัลยกำธร ท่านมักจะพูดบ่อยๆว่า เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาสิของจริง ซึ่งมันก็เป็นไปตามนั้นจริงๆ ก็เห็นจริงกันจะๆ ตอนน้ำท่วมล้อมกรุงเทพฯปลายปี 54 นั่นไง มีเงินแต่ไม่มีของในซุปเปอร์มาร์เก็ต มีเงินมากมายก็ซื้อน้ำไม่ได้สักลิตร
จะบอกให้เลยว่าใครต้องการความมั่นคงปลอดภัยไร้โจรปล้นค่าเงินจริงๆก็ต้องหันไปทำเกษตรพึ่งตนเองโดยใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียง และไม่ต้องวิ่งตามระบบตลาดมากจนเกินไปครับ พูดง่ายๆคืออ้างอิงเงินและตลาดให้น้อยที่สุด เพราะตอนนี้บริษัทยักษ์ใหญ่ก็เริ่มยึดครองการผลิตอาหารทั้งกระบวนการ และเล่นแร่แปรธาตุกับอาหารที่เรากินจนผู้คนเจ็บป่วยตายกันมากมาย ดีไม่ดีคนที่ป่วยตายจากอาหารในทุกวันนี้อาจจะเยอะกว่าคนที่ตายในสงครามโลกครั้งที่สองเสียอีก ขืนไปยุ่งกับบริษัทใหญ่คงจบไม่ดีแน่ๆ ไม่เชื่อถามเกษตรกรที่หันไปทำ contract farming ดูก็ได้ว่าเป็นหนี้อ่วมกันแค่ไหน
มันคงเป็นเรื่องยากที่จะให้คนที่มีชีวิตในระบบทุนมาโดยตลอด เห็นภาพในสิ่งที่ตนไม่เคยคิดถึง...คนเมืองกับการเกษตรเนี่ยนะจะบ้าหรือเปล่า
ไม่บ้าหรอกครับ เดี๋ยวตอนถัดๆไปจะว่าด้วยการเปิดโลกทัศน์เกี่ยวกับเกษตรธรรมชาติและการพึ่งตนเอง นอกจากนั้นก็จะเปิดโลกทัศน์ให้เกษตรกรทั้งหลายได้รู้จักเมืองและคนเมืองอย่างที่เป็นจริงๆ ไม่ใช่ภาพสวยงามที่เห็นกันจากสื่อทั้งหลาย
ควายของใคร ก็จะได้ตามกลับบ้านกันเสียที
ขออนุญาติ นำไปแชร์ต่อนะครับ
ReplyDeleteขอบคุณมากครับ เขียนได้ตรง ชัดเจนมาก
ตามสบายเลยครับ
ReplyDeleteแก้ด้วยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่พระองค์่ท่านค้นคว้า ทดลอง และพระราชทานให้..
ReplyDeleteขอบคุณบทความดีๆ .. แชร์โลด