ทุกอย่างที่ตัวหีบห่อสื่อออกมาเพื่อดึงดูดให้เราตัดสินใจซื้อง่ายขึ้นทั้งนั้น |
เมื่อต้นเดือนมิถุนายน
2556 ที่ผ่านมาผมเดินทางไปดูที่ดินที่ จ.เพชรบูรณ์
ขากลับได้นั่งคุยกับนายหน้าที่ร้านอาหารตามสั่งแห่งหนึ่งไม่ไกลจากแปลงที่ดินที่เราไปดู
นายหน้ารายนี้เล่าว่า ทุกวันนี้ทำมาหาเงินไม่พอจะกิน แค่นั้นล่ะ
ผมอดสงสัยไม่ได้ก็เลยถามไปว่ามีที่กี่ไร่? เขาตอบว่าสิบกว่าเกือบ 20 ไร่
ผมก็ถามกลับว่าอาหารน่ะปลูกกินเองได้ทำไมไม่ปลูก นายหน้าคนนั้นถึงกับงง
ทั้งๆที่ได้เคยไปเยี่ยมเยียนศูนย์กสิกรรมธรรมชาติมาบเอื้องของ อ.ยักษ์ (ดร.วิวัฒน์
ศัลยกำธร) มาแล้วด้วยซ้ำไป
ถึงตรงนั้นผมก็ได้รู้ว่า
เขาถูกหลอกให้ปลูกพืชเชิงเดี่ยวหาเงินไปซื้อข้าวกิน
ถูกหลอกว่าให้ใช้เคมีในการเกษตรเพื่อผลผลิตที่ดีได้มาตรฐาน แต่พอเอาผลผลิตไปขาย
กลับถูกกระบวนการรับซื้อผลผลิตปิดบังข้อมูลทุกขั้นตอนเพื่อกดราคาขาย
ไม่ว่าจะเป็นการชั่งน้ำหนักที่เกษตรกรไม่ได้เห็นกับตาว่าทางผู้รับซื้อชั่งได้นำหนักเท่าไหร่
ความชื้นกี่เปอร์เซ็นต์ ฯลฯ
ผมจึงเล่าเรื่องเกษตรธรรมชาติอย่างที่เขาไม่เคยได้ยินจากที่ไหนให้เขาได้ฟัง
จนคนในร้านและแม่ค้าเองก็มานั่งเงี่ยหูฟัง
ซึ่งเหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ผมแปลกใจมากว่าทำไมคนชนบทถึงได้ถูกปิดบัง
บิดเบือนข้อมูลกันขนาดนี้
กลับมาในเมือง
จริงๆแล้วคนในเมืองก็ถูกบิดเบือนและโกหกมากพอๆกัน
ปิดบังเอาไว้เพื่อที่จะสร้างเงื่อนไขในการขายของ ซึ่งหลังจากช่วงปีที่ผ่านมา
ผมได้เริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหลายๆอย่างมาเป็นการพึ่งพาตนเองให้มากขึ้น
เพื่อตัดคนกลางออกจากค่าครองชีพให้มากที่สุด(ปัญหาค่าครองชีพสูงๆมาจากคนกลางทั้งนั้นครับ)
และจากการทดลองเล็กๆหลายอย่างก็พบว่า
คนเมืองก็ถูกหลอกผ่านโฆษณาและการประชาสัมพันธ์การตลาดพอๆกับที่คนชนบทโดนบิดเบือนข้อมูล
เพียงแต่ในกรณีของคนเมืองนั้น ถูกทำให้มั่นใจว่าคิดได้เองไม่โดนหลอกแน่ๆ
แท้จริงแล้วมันมีกระบวนการสื่อสารที่ทำให้เหมือนว่าคนเมืองคิดได้เอง
แต่การคิดเองนี้ก็มีพื้นฐานมาจากการบิดเบือนของวัตถุดิบทีใช้ประมวลผลในกระบวนการคิด
จากต้นทางก็คือสื่อต่างๆนั่นเอง
ยกตัวอย่างในกรณีที่ผมได้เจอกับตัวก็แล้วกัน
ปกติทุกบ้านจะต้องมีสบู่
แชมพู โลชั่นเอาไว้ติดบ้านกันอยู่แล้วแน่นอน
ซึ่งบางทีเราก็แอบลองซื้อของใหม่มาใช้บ้าง
เราถูกโฆษณาสินค้าเหล่านี้ประเคนใส่ทุกวันจนนึกไม่ออกว่าถ้าไม่ซื้อใช้แล้วจะไปเอาที่ไหนมาใช้
สินค้าที่ผลิตจากผู้ผลิตรายย่อยอย่างสบู่แชมพูสมุนไพรก็ดูไม่ค่อยน่าใช้
แถมไอ้ที่เคยใช้ มันดันแย่กว่าสินค้ากระแสหลักที่ขายอยู่ตามห้างใหญ่ๆ
จนสุดท้ายก็ต้องกลับไปตายรังตลอด
ซึ่งตลอดยี่สิบกว่าปีที่ซื้อสบู่แชมพูใช้เอง
ก็ได้แค่รู้ว่ายี่ห้อนั้นดีไม่ดียังไง ตัวเลือกมีแค่นี้จริงๆ
แล้วของพวกนี้ก็แพงขึ้นทุกวันๆ ไม่ขึ้นราคาเปล่าบางทีแอบลดขนาด
แอบลดคุณภาพลงเพื่อทำกำไรเพิ่มด้วย
แต่หลังจากที่ผมกลับจากการอบรมเกษตรธรรมชาติกับทางศูนย์กสิกรรมธรรมชาติสองสลึงเมื่อต้นปี
2555 ผมก็ได้ลองทำสบู่แชมพูสมุนไพรเอาไว้ใช้เองและพบว่า
สบู่และแชมพูตลอดจนน้ำยาอเนกประสงค์ที่ทำเองนั้น
มีคุณภาพดีกว่ายี่ห้อใหญ่ๆในท้องตลาด แถมราคาถูกว่าครึ่งๆเลยด้วยซ้ำไป
การพิสูจน์นี้เองที่ทำให้ผมเริ่มตาสว่าง
และเริ่มตาสว่างอีกรอบหนึ่งเมื่อเอาดอกอัญชันมาชงดื่มเป็นชา
ซึ่งมีสรรพคุณบำรุงสายตา แค่ชงดื่มแก้วเดียวก็เห็นผลเลยครับ
เพราะปกติผมจะใช้สายตาเยอะ ต้องนั่งหน้าคอมเป็นประจำ
พอดื่มเข้าไปตาที่มันฟ้าฟางอยู่ก็สว่างขึ้นในเวลาไม่นาน
การปรับโฟกัสสายตาทำได้รวดเร็วมากขึ้น จนระยะหลังๆผมก็ใส่แว่นน้อยลงไปเยอะเลย
ดีกว่าไปซื้อวิตามินเม็ดแพงๆกินเป็นไหนๆ
อีกกรณีหนึ่งก็แล้วกัน
กรณีน้ำมันมะพร้าว
เมื่อก่อนเราเคยรับรู้ว่าน้ำมันมะพร้าวไม่มี
มีไขมันอิ่มตัวมาก ทำให้เกิดโรคหลอดเลือด
ซึ่งสำหรับคนส่วนใหญ่น้ำมันมะพร้าวคือสิ่งไม่ดี
แต่ก็มีความลึกลับดำมืดอีกมากเกี่ยวกับมันที่เราไม่รู้
เพราะถูกโฆษณายกงานวิจัยมาตีว่ามันเป็นน้ำมันพืชที่มีไขมันอิ่มตัวสูงก่อให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
ทำให้ภาพลบของน้ำมันมะพร้าวติดใจอยู่อย่างนั้นมายาวนาน
จนกระทั่งมีบทความวิจัยออกมาแก้ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับน้ำมันมะพร้าวออกมาตามสื่อออนไลน์มากมาย และกลับกลายเป็นว่าน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นนั้นมีคุณประโยชน์มหาศาล ไม่ได้เป็นเหมือนที่งานวิจัยก่อนหน้านี้บอกเอาไว้แม้แต่น้อย จึงทำให้ผมเข้าใจเลยว่างานวิจัยที่สนับสนุนคุณภาพสินค้าก็เป็นสื่อโฆษณาแบบหนึ่ง ไม่ใช่งานวิจัยจริงๆ
จนกระทั่งมีบทความวิจัยออกมาแก้ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับน้ำมันมะพร้าวออกมาตามสื่อออนไลน์มากมาย และกลับกลายเป็นว่าน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นนั้นมีคุณประโยชน์มหาศาล ไม่ได้เป็นเหมือนที่งานวิจัยก่อนหน้านี้บอกเอาไว้แม้แต่น้อย จึงทำให้ผมเข้าใจเลยว่างานวิจัยที่สนับสนุนคุณภาพสินค้าก็เป็นสื่อโฆษณาแบบหนึ่ง ไม่ใช่งานวิจัยจริงๆ
หนังและโฆษณาทำได้ขนาดนี้แล้วคุณคิดว่าจะเชื่ออะไรได้อีกไหม?
ซึ่งผมก็ได้พิสูจน์กับตัวเองไปแล้วว่าน้ำมันมะพร้าวใช้ประโยชน์ได้มากจริงๆ ตั้งแต่การใช้ทำ oil pulling(ดึงพิษออกจากช่องปาก) ใช้แทนโลชั่นหรือผลิตภัณฑ์ทาผิวทุกชนิด รวมไปถึงแก้คัน แก้ผื่น ทาแก้แมลงสัตว์กัดต่อย ทาแผล ทารักษาเชื้อรา ฯลฯ ซึ่งโลชั่นคุณภาพดีที่สุดในตลาดก็ยังไม่สามารถทำได้ขนาดนี้ เพราะโลชั่นในตลาดเป็นผลิตภัณฑ์เคมีสังเคราะห์ ทำได้แต่รักษาความชุ่มชื้นของผิวหนังเท่านั้น แต่ไม่สามารถซึมซาบลงสู่ผิวเพื่อบำรุงหรือรักษาผิวได้เหมือนน้ำมันมะพร้าว ไม่สามารถใช้รักษาโรคบางอย่างได้เหมือนน้ำมันมะพร้าว สิ่งที่ผู้ผลิตทำได้ก็เพียงแค่เลียนแบบคุณสมบัติจากธรรมชาติให้มากที่สุด ใส่วิตามิน ใส่สารอาหารเข้าไปซึ่งก็เป็นเคมีทั้งนั้น ซึ่งมันไม่สามารถทำหน้าที่ได้เหมือนผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติเลยแม้แต่นิดเดียว พูดง่ายๆคือ ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติล้วนๆนั้นดีที่สุดแล้ว เพราะมนุษย์เองก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติเช่นกัน แต่ที่ต้องไปใช้สารเคมีก็เพราะ ผู้ผลิตต้องการกำไรสูงๆนั้นเอง เชื่อหรือไม่ว่าโลชั่นที่ดีที่สุดในตลาดแพงกว่าน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นเสียอีก แต่ก็ยังทำได้ดีไม่เท่าของจากธรรมชาติ
นอกจากนั้นก็ยังมีการกีดกัน
ปิดบังข้อมูลในแวดวงต่างๆอีกมากมาย
หนึ่งในนั้นก็คือวงการแพทย์แผนปัจจุบันและยารักษาโรค(ยาเคมี)
ที่ตอนนี้ได้มีความจริงเกี่ยวกับความไร้ประสิทธิภาพของการรักษา
รวมไปถึงผลกระทบจากการใช้ยาเคมีต่อร่างกายออกมาให้เห็นอีกเยอะมาก เพียงแต่ถูกสื่อกระแสหลักปิดบังเอาไว้
เพราะไปกระทบธุรกิจการแพทย์ซึ่งเป็นทุนใหญ่
นี่ยกตัวอย่างเบาะๆนะครับ
จริงๆในวงการอื่นยังมีอีกมากที่เบื้องหลังหลอกลวงเพื่อหากินกันอย่างนี้
โดยที่เราไม่รู้
แล้วเขาก็สร้างภาพโฆษณาประชาสัมพันธ์บังหน้าเอาไว้ให้เรารู้สึกกับผลิตภัณฑ์ของเขาในแบบที่เขาต้องการ
พอทุกวงการทำสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ในเชิงบวกออกมาล้อมหน้าล้อมหลังเรามากๆ
เราก็จะรู้สึกไปเอง อุปทานไปเองว่า สังคมนี้ช่างสวยงามสงบสุขจริงๆ
มีแต่ผู้ผลิตทำสินค้าดีๆให้เราใช้ โดยที่เราไม่รู้เบื้องหลังของมันแม้แต่นิดเดียว
ซึ่งเท่าที่ผมเคยได้รู้จักผู้คนในวงการต่างๆ
ส่วนใหญ่จะไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ตนเป็นหนึ่งในผู้ร่วมผลิตเอง
เพราะรู้ๆอยู่ว่าใส่อะไรลงไปบ้าง
โดยปกติ
งานโฆษณาคืองานสร้างภาพ สร้างตัวตน สื่อสารเพื่อ "สร้างความหมายใหม่"
หรือ "นิยามใหม่" หรือ "บุคลิกใหม่"
ให้กับสินค้าซึ่งสามารถจะเป็นอะไรก็ได้ตั้งแต่ตัวบุคคลไปจนถึงสินค้าและบริการทุกรูปแบบ
แต่ถ้าจะให้อธิบายกันแบบตรงไปตรงมาจริงๆ
งานโฆษณาก็คืองานที่ "สร้างภาพลวง"
ที่ผู้ขายสินค้าอยากจะสื่อให้ผู้บริโภคได้รับรู้ เหมือนเวลาแต่งตัวหล่อๆ
ขับรถดีๆไปจีบสาวนั่นแหละครับ ใครจะจีบสาวแบบตรงๆบ้าง ไม่มีหรอก
ก็ต้องนำเสนอให้ตัวเองดูดี ถึงแม้ตัวจริงจะไม่ได้ดีอย่างที่นำเสนอก็ตาม โดยนัยนี้
การโฆษณาก็คือการบิดเบือนความเป็นจริงและการโกหกด้วยการสร้างภาพหลอกคนดูคนฟังนั่นเอง
อันนี้พูดกันตรงๆไม่ต้องดัดจริต
แม้วงการโฆษณาประชาสัมพันธ์เองอาจจะแก้ต่างให้ตัวเองว่าเป็นศิลปะในการสื่อสาร
แต่ก็หนีความจริงไปไม่ได้ว่ามันก็คือการโกหกหลอกลวงอย่างหนึ่ง
เพียงแต่ใช้กลวิธีแยบยลในการซุกซ่อนความจริง
ปรุงแต่งภาพมายาเพื่อทำให้คำโกหกนั้นดูไม่เหมือนคำโกหกอีกต่อไป เรียกว่าเป็นศาสตร์ที่ทำให้ภาพลวงกลายเป็นความรู้สึกจริงๆของเราก็ว่าได้
วิธีการที่โฆษณาทำก็คือเลือกภาพให้สวยโดนใจ
ดึงดูดใจ สร้างเรื่องราวครอบคลุมสินค้าหรือบริการที่ไม่มีชีวิต
และบ่อยครั้งก็ไม่ตรงกับความเป็นจริงของสินค้าหรือบริการนั้นๆ
จนต้องแอบมีดอกจันต่อท้ายราคาแถมเงื่อนไขซ่อนเร้นอีกเพียบ
ซึ่งสิ่งนี้เองจะทำให้เรามาปวดหัวในภายหลัง เมื่อเราตัดสินใจซื้อไปแล้ว
ซึ่งเมื่อเวลาเราไปจ่ายเงินซื้อสินค้า เราก็ไปซื้อเพราะ"ความรู้สึก"
หรือ "ภาพ" หรือ "เรื่องราว"
ที่เขาสร้างให้และยัดใส่ความรับรู้ของเรา เมื่อเรารู้สึกอย่างนั้น
เราก็จะคิดไปเองว่าเราเป็นคนตัดสินใจเอง ตัดสินใจบนอิสรภาพของตนเอง
ไม่ได้มีใครมาชี้นำ กูเจ๋ง
แต่จริงๆแล้วเขาคัดเลือกตัดต่อบิดเบือนข้อมูลมานำเสนอผ่านสื่อ
ให้เราเสพเข้าไปเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการคิดอย่างนั้นเรียบร้อยแล้ว
คุณจะคิดเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากแนวทางที่เขาออกแบบมาแล้วเท่านั้น เพียงแต่คุณไม่รู้ตัวเท่านั้นแหละ
คุณจะรู้สึกอย่างเดียวว่าคุณเจ๋ง
กระบวนการที่ว่านี้ในวงการเขาเรียกว่าการสร้างอัตลักษณ์ให้สินค้า(Brand Identity)
เป็นภาพที่งานโฆษณาสร้างให้คุณได้รับรู้สินค้าและบริการในแง่ที่เขาอยากให้คุณรู้
คุณจะได้ประทับใจ พึงพอใจ
และหันมาเป็นลูกค้าหรือกระทั่งเป็นสาวกของสินค้าไปเลยก็จะถือว่าประสบความสำเร็จมาก
ถามหน่อยว่าสินค้ามีเอกลักษณ์
พอมีคนใช้เยอะๆมันจะเป็นเอกลักษณ์ตรงไหนเล่า ถูกหลอกขายของก็เท่านั้นเอง ก็นะ
จะมีผู้ผลิตสินค้ารายไหนกล้าบอกคุณล่ะว่ามันยังมีตัวเลือกอื่นๆอีกนอกจากสินค้าของเขา
แต่ผมก็ไม่สนใจที่จะถกเถียงกับสาวกสินค้าผู้ลุ่มหลงและจงรักภักดีทั้งหลายหรอกนะ
เพราะเขาเหล่านั้นโดนล้างสมองไปแล้ว
โดนล้างสมองว่าสินค้าที่ตนใช้เป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิต ต่อหน้าที่การงาน
เป็นความภาคภูมิใจ ดูดีมีระดับ และเหตุผลอีกมากที่เขาเหล่านั้นสร้างมาหลอกตัวเองให้ยึดติดกับสิ่งนั้นๆ
สิ่งที่จำเป็นจริงๆน่ะเหรอ ก็ลองไม่กินข้าวสิ ลองไม่หายใจ ลองไม่ดื่มน้ำสิ
อยู่ได้ไหม? นั่นแหละคือสิ่งจำเป็นจริงๆ
แล้วเชื่อไหมครับ
ทุกวันนี้ศาสตร์ทางด้านโฆษณาประชาสัมพันธ์ถูกนำไปใช้ในทุกวงการ ทุกระดับ
กับทุกเรื่องที่ต้องมีการ"ขาย"เข้ามาเกี่ยว
จนไม่รู้ว่าอะไรจริงอะไรหลอกอีกต่อไป
แต่สรุปให้ก็ได้ว่าสังคมมนุษย์ทุกวันนี้มีแต่เรื่องหลอกลวงจริงๆ แม้กระทั่งคนที่จริงใจที่สุดก็ยังน่ากลัว
เพราะบางทีมันก็เป็นรูปแบบการนำเสนอให้เราเปิดใจต่อสินค้าอย่างหนึ่งเช่นกัน
เรียกว่าทุกวันนี้โจรมันเปลี่ยนวิธีปล้นกันแล้ว
ปล้นกันนิ่มๆผ่านหน้าจออย่างนี้เลยดีกว่า
ที่สังคมมนุษย์ต้องมีความหลอกลวงมากขึ้นเรื่อยๆก็เพราะทุกวันนี้เราอยู่ในระบบเศรษฐกิจฟองสบู่
อยู่ในระบบที่ปั่นมูลค่าให้สิ่งฟุ่มเฟือยฟุ้งเฟ้อ
หรือแม้สิ่งที่จำเป็นต่อชีวิตก็ยังถูกปั่นมูลค่า
เพิ่มมูลค่าด้วยการโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่ต้องใช้เงินนับสิบๆล้านบาท ก็ใครจะเคยคิดเล่าว่า
จะมีโอกาสได้เห็นโฆษณาน้ำดื่มทางทีวีด้วย
ไม่ใช่แค่การปั่นฟองสบู่มูลค่านะครับ
เหตุที่การหลอกลวงผ่านสื่อทั้งหลายหนักหน่วงขึ้นก็เพราะความมั่งคั่งมันเริ่มหมดไปจากโลก
ไหลไปอยู่กับนายทุนเพียงไม่กี่คน เมื่อความมั่งคั่งจากโลกเริ่มหายาก
ทรัพยากรธรรมชาติถูกจับจองไว้หมดแล้ว ก็เลยต้องหันมาสูบกินความมั่งคั่งจากทรัพย์สินของคนตัวเล็กๆที่รู้ไม่เท่าทัน
ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของโลกนั่นเอง
อย่างที่เห็นๆกันก็เช่นนโยบายประชานิยมต่างๆที่ดูดีตอนหาเสียง
แต่ฉิบหายกันหมดตอนทำจริง ไม่เชื่อก็ไปดูเรื่องจำนำข้าวของรัฐบาลก็ได้
ซึ่งนั่นก็เป็นแค่ตัวอย่างเล็กๆเท่านั้นนะครับ โลกนี้ยังมีอะไรที่สามานย์กว่านั้นอีกเยอะ
ซึ่งเมื่อมายาการแห่งการสื่อสารและโฆษณาแทรกซึมเข้าไปยังสถาบันการเมืองการปกครองจนถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือหลักในการปกครองประเทศและการฉ้อฉล
ทดแทนความรู้ความสามารถที่จะแก้ไขปัญหาประเทศจริงๆเมื่อไหร่
ก็ให้ตระหนักเอาไว้เลยว่า จุดจบของระบบทุนนิยมอยู่ไม่ไกลแล้วครับ
No comments:
Post a Comment