ทุกวันนี้ปัจจัยสี่ของมนุษย์โดนระบบทุนคุกคามอย่างหนัก
ทั้งอาหารที่ตกอยู่ในมือบริษัทยักษ์ไม่กี่บริษัท ที่อยู่อาศัยที่แพงขึ้นเรื่อยๆ
ยารักษาโรคและระบบสาธารณสุขที่ไม่เป็นมิตรกับเงินในกระเป๋า
เสื้อผ้าแบรนด์เนมที่เร่งโฆษณาภาพลักษณ์จนคนธรรมดาเดินดิน
เริ่มรู้สึกเป็นปมด้อยเมื่อไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าสุดหรูตามกระแส
หรือที่หนักข้อจริงๆตอนนี้ก็เห็นจะเป็นโทรศัพท์มือถือที่มักจะสร้างภาพว่าเป็นโทรศัพท์อัจฉริยะ
จะช่วยให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น สบายขึ้น
แต่กลับดึงเวลาในชีวิตของเราไปจนหมดแถมทำให้ยุ่งยากกว่าเดิมอีก
ทุกวันนี้เราถูกทำให้เหมือนสุขสบายจากวัตถุต่างๆ
แต่จิตใจกลับวังเวงสิ้นดี เพราะการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายที่เคยเป็นของธรรมชาติ
กลับกลายมาอยู่ในมือของมนุษย์ขี้เหม็น ที่มุ่งแต่จะกอบโกยเสียแล้ว
ผลก็คือการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในระบบทุนจึงมาจากการที่บริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย
ผลิตสินค้ารุ่นใหม่ๆ คุณสมบัติใหม่ๆเพิ่มขึ้นมาล่อตาล่อใจให้เราเสียเงินซึ้อ
ทำให้เรารู้สึกว่าไอ้สิ่งที่มีอยู่มันเริ่มด้อยค่าล้าสมัยอายชาวบ้าน
ทั้งๆที่มันอาจจะไม่มีความจำเป็นเลยก็ได้
และภัยตรงนี้ก็อยู่ในบ้านทุกคนเรียบร้อยแล้ว ไม่เชื่อมาดูกันทีละเรื่องก็ได้ครับ
ก่อนอื่นเรามาดูตัวเราก่อนว่าภัยคุกคามทั้งสี่ด้านนั้นมันเกิดจากจุดอ่อนอะไร
ทุกวันนี้ผู้คนในระบบทุนนิยมถูกสอนถูกฝึกให้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
เก่งด้านวิชาชีพของตนเองเพียงอย่างเดียว แต่ชีวิตในส่วนอื่นๆถูกทำให้ด้อยหมด
พอเชี่ยวชาญอย่างเดียว
ก็จะถูกใช้งายอย่างหนักเพราะต้องทำงานให้คุ้มเงินที่นายจ้างเสียไป พอทำงานหนัก
มิติอื่นๆของชีวิตก็พลอยหดหาย ด้อยคุณภาพและฝ่อลงไปด้วย
สุดท้ายเราก็ฝากสิ่งอื่นๆนอกเหนือจากสิ่งที่เราเชี่ยวชาญเอาไว้กับคนอื่นไม่ว่าจะเป็นอาหาร
ยารักษาโรค เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย
และพอเราฝากปัจจัยที่จำเป็นต่อชีวิของเราทุกเรื่องเอาไว้กับคนอื่นแล้ว
องค์ความรู้และภูมิปัญญาที่เกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆเหล่านี้ก็ถูกพัฒนาขึ้น
ปรับปรุงให้ "ดีขึ้น" เกินความจำเป็น โดยอาศัยอ้างคุณภาพชีวิตเป็นเหตุผล
แล้วบริษัทยักษ์ทั้งหลายก็จดลิขสิทธิ์หรือสิทธิบัตรองค์ความรู้น้นๆเพื่อการผูกขาดทางการค้า
ส่วนองค์ความรู้ท้องถิ่นที่เคยตอบสนองต่อปัจจัยที่จำเป็นเหล่านี้ก็เลยดูด้อยค่า
จนกระทั่งเกือบจะสาปสูญไปในปัจจุบัน
คิดดูก็แล้วกันครับว่า
ปัจจัยสี่ทั้งหลายที่เราพึ่งพาและฝากผีฝากไข้เอาไว้กับคนอื่น
ถูกจดลิขสิทธิ์และสิทธิบัตรเพื่อผูกขาดทางการค้า
มันก็เหมือนจับเอาปัจจัยสี่ที่เราต้องกินต้องใช้เป็นตัวประกันแล้ว
ทีนี้รู้หรือยังว่าภัยมันใกล้ตัวกว่าที่คิด
หากคุณเป็นคนเมืองหรือชอบเดินเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ต
ลองนึกภาพดูนะครับว่า ถ้าซุปเปอร์มาร์เก็ตไม่มีของขาย คุณจะอยู่ยังไง? ทีนี้คงเห็นภาพชัดแล้วนะครับว่า
อาหารที่เป็นปัจจัยหลักที่จำเป็นไปตกอยู่ในมือใครบ้าง นอกจากนี้ยังไม่พอ
อาหารที่วางขายอยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ตนั้นยังถูกปรุงแต่งด้วยสารเคมีและสาร
"สังเคราะห์"จากธรรมชาติอีกมากมาย
ลองไปสังเกตที่ฉลากอาหารทั้งหลายสิครับ(ตัวเล็กจนอ่านไม่ออกเหมือนพยายามจะปิดบังอะไรบางอย่าง)
มีแต่สีผสมอาหาร มีแต่การปรุงแต่งกลิ่น มีแต่ส่วนผสมที่ทำจากแป้งข้าวโพด น้ำตาล
มีแต่สารสกัดจากธรรมชาติ ซึ่งสารเหล่านี้พอสกัดออกมาแล้วจะเรียกธรรมชาติได้ไหมเล่า
เพราะสารที่ใช้สกัดมันก็เคมีทั้งนั้น หรือกระทั่งการใส่วิตามินเสริมหรือแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์เข้าไปโดยไม่จำเป็น(เพื่อที่จะตั้งราคาสูงๆ)
ฯลฯ
สรุปแล้วไอ้ที่เราซื้อกินจากชั้นวางของในห้างนั่นก็ไม่ต่างอะไรจากอาหารสัตว์นะครับ
เพราะสัตว์ในฟาร์มทั้งหลายก็กินพวกข้าวโพดนี่แหละ
เพียงแต่แต่งกลิ่นแต่งรสให้ถูกใจคนกินหน่อย
เสร็จแล้วอาหารพวกนี้แหละที่ทำให้เราป่วยไข้เป็นโรคต่างๆมากมาย
ทั้งๆที่สมัยก่อนก็ไม่เคยปรากฏว่ามีคนป่วยไข้ด้วยโรคที่เนื่องมาจากอาหารมากมายเหมือนในปัจจุบัน
ถึงตรงนี้เคยสงสัยกันไหมครับว่าคนสมัยก่อนเขาอยู่ได้ยังไง
ทั้งๆที่ไม่มีสารสกัดพิเศษที่จะทำให้ร่างกายคุณแข็งแรงเป็นพิเศษทั้งหลายนั่นแหละ
เพราะสารอาหารทุกอย่างนั้นธรรมชาติมีให้หมดแล้ว แค่กินอาหารให้ครบถ้วน
มีเหรอมันจะขาดสารอาหาร ไม่อย่างนั้นคนสมัยก่อนเข้าก็ทุพโภชนาการน่ะสิ
นี่แสดงให้เห็นว่าเราถูกหลอกให้ซื้ออาหารที่ผสมวิตามินพิเศษ กรดไขมันแบบพิเศษ
และอะไรๆที่พิเศษซึ่งเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของแต่ละบริษัท
เพราะสินค้าแบบธรรมดานั้นมันแข่งกันจนไม่มีกำไรแล้ว เขาก็เลยใส่นั่นนิด
ใส่นี่หน่อยเข้าไปแล้วก็ปรับราคาขึ้นไปสูงๆให้มันดูพิเศษ อย่างนมวัวน่ะ แบบที่ใส่ DHA กับแบบธรรมดาน่ะ
ราคาต่างกันลิบเลยทั้งๆที่ไขมันในนมวัวนั้น ร่างกายของเราสามารถย่อยออกมาได้เป็น DHA อยู่แล้ว
จริงๆเด็กก็ไม่ได้โตด้วยแคลเซียมในนมวัวนะครับ
แต่โตด้วยฮอร์โมนเร่งโตที่ฟาร์มฉีดให้วัว!
ไม่เท่านั้น
พวกน้ำอัดลม น้ำหลากสีหลากรสนั่นกีอีก ถ้าไปดูกันดีๆนี่สารเคมีปรุงแต่งกลิ่น สี
รสทั้งนั้น ก็เพราะอะไรครับ ก็เพราะเราดื่มกินตามใจปากนั่นแหละ
เขาก็เลยสนองความอยากให้เต็มๆ
ส่วนภาพอาหารที่ดูสดใหม่ทั้งหลายก็เป็นผลงานของสารเคมีทั้งนั้นที่ผู้ผลิต "อัพยา"
ให้มันจนดูน่ากินไปหมด
นี่ไม่นับว่าน้ำตาล
เกลือ
และผงชูรสในปริมาณเกินความต้องการของร่างกายที่อยู่ในอาหารหลายประเภทก็ยังเป็นเหตุให้เกิดโรคอีกมากมายด้วยซ้ำไป
วิธีการกระตุ้นให้คนซื้อสินค้าประเภทอาหารก็ง่ายๆครับ
โฆษณาให้ดูน่ากินเข้าไว้ เอาพรีเซนเตอร์มาทำท่ากินอาหารให้มันดูน่ากิน
โดยที่เนื้อในของอาหารนั้นมันคืออะไรเราก็ไม่รู้ หรือรู้ก็ไม่สน เพราะมันอร่อยนี่
ยิ่งสมัยนี้ที่เทคโนโลยีด้านอาหารก้าวหน้าไปมาก จนขนาดที่ว่าเขา
มีการออกแบบอาหารด้วยวิธีการทางวิศวพันธุกรรมกันแล้ว
คือปรับแต่งสัตว์ที่ใช้ผลิตอาหารตั้งแต่ก่อนมันเกิดเป็นตัวเลยด้วยซ้ำ
หรือพูดง่ายๆคือมันเป็นอาหารที่ปรับแต่งพันธุกรรมเพื่อผลทางการค้าแล้วนั่นเอง
ไม่ใช่อาหารที่ได้มาจากธรรมชาติจริงๆ
ไปดูในฟาร์มเลี้ยงวัวระบบอุตสาหกรรมที่อเมริกาสิครับ
แทบไม่มีแล้วที่ให้วัวกินหญ้า เขาให้กินเมล็ดข้าวโพดซึ่งถูกกว่ามากๆแทน
แล้วถามว่าระบบย่อยอาหารของวัวซึ่งปกติมันต้องกินหญ้ากินใบไม้
แต่ดันต้องเปลี่ยนมากินเมล็ดข้าวโพดน่ะ มันจะผิดปกติไหมเล่า ไม่ต้องพิสูจน์อะไรหรอกครับ
ทุกวันนี้เนื้อสัตว์ที่เรากินเข้าไปนั้นเต็มไปด้วยยาปฏิชีวนะ ฮอร์โมน
แล้วสัตว์ที่ถูกเลี้ยงในที่แคบๆ ถูกบังคับให้ต้องกินอาหารตลอดเวลาไม่มีพัก
มันจะไม่เครียดหรือ?
มันจะไม่อ่อนแอหรือ? แล้วสารที่หลั่งออกมาในเนื้อของมันเมื่อสัตว์เครียดมันจะไม่มาถึงคนกินได้ยังไงเล่า
สังเกตง่ายๆ
เดี่ยวนี้พอไข้หวัดนกระบาด ไก่ตายยกฟาร์มหรือไม่ก็ต้องฆ่าทิ้งหมด ก็เพราะอะไรครับ
ก็เพราะมันอ่อนแอไง ถึงต้องอัดยาปฏิชีวนะเข้าไปเยอะๆ
เยอะขนาดที่ว่าเจ้าของฟาร์มบางรายก็แพ้ยาปฏิชีวนะไปเลยก็มี
ในขณะเดียวกันอาหารที่มาจากธรรมชาติแท้ๆปลอดสารเคมี
ก็กลับกลายเป็นของเกรดสูง หายาก ราคาแพงไปซะงั้น
ส่วนไอ้ที่ราคาถูกๆก็มีแต่สารเคมีกันเต็มพิกัด
นี่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าคนส่วนใหญ่ที่มีรายได้ไม่มากมายนึก
หมดสิทธิ์ที่จะมีสุขภาพดีด้วยอาหารที่มีคุณภาพเป็นที่แน่นอนแล้ว
แล้วคุณรู้ไหมว่าโรคภัยไข้เจ็บที่เราเป็นกันอยู่ทุกวันนี้มีสาเหตุหลักมาจากแค่สองสาเหตุเท่านั้น
ก็คือ ความเครียด กับ อาหาร นั่นแหละ
โปรดติดตามตอนต่อไป
No comments:
Post a Comment