Monday, July 23, 2012

ภัยสี่ด้านในบ้านคุณ 1

ภาพบ้านหลังโตอันสวยงาม ภาพคอนโดหรูใจกลางเมือง ภาพของการเดินทางอย่างสะดวกสบายด้วยรถยนต์ส่วนตัว ภาพของอาหารสุดหรูในภัตตาคารสุดอลังการ ภาพเงาของชีวิตที่หรูหราถูกสร้างขึ้นผ่านสื่อต่างๆ ความสุขความสนุกสนานจากการใช้สินค้า ซื้อสิ้นค้าต่างๆ ถูกตกแต่งภาพจนเนียนหาที่ติมิได้ สวยงามราวกับหลุดจากภาพฝันของเรา...เหมือนมีคนทำให้เป็นจริง แต่จริงๆเป็นเพียงภาพมายาที่สร้างขึ้นทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับว่าจะขายอะไร

ทุกวันนี้ปัจจัยสี่ของมนุษย์โดนระบบทุนคุกคามอย่างหนัก ทั้งอาหารที่ตกอยู่ในมือบริษัทยักษ์ไม่กี่บริษัท ที่อยู่อาศัยที่แพงขึ้นเรื่อยๆ ยารักษาโรคและระบบสาธารณสุขที่ไม่เป็นมิตรกับเงินในกระเป๋า เสื้อผ้าแบรนด์เนมที่เร่งโฆษณาภาพลักษณ์จนคนธรรมดาเดินดิน เริ่มรู้สึกเป็นปมด้อยเมื่อไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าสุดหรูตามกระแส หรือที่หนักข้อจริงๆตอนนี้ก็เห็นจะเป็นโทรศัพท์มือถือที่มักจะสร้างภาพว่าเป็นโทรศัพท์อัจฉริยะ จะช่วยให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น สบายขึ้น แต่กลับดึงเวลาในชีวิตของเราไปจนหมดแถมทำให้ยุ่งยากกว่าเดิมอีก

ทุกวันนี้เราถูกทำให้เหมือนสุขสบายจากวัตถุต่างๆ แต่จิตใจกลับวังเวงสิ้นดี เพราะการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายที่เคยเป็นของธรรมชาติ กลับกลายมาอยู่ในมือของมนุษย์ขี้เหม็น ที่มุ่งแต่จะกอบโกยเสียแล้ว ผลก็คือการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในระบบทุนจึงมาจากการที่บริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย ผลิตสินค้ารุ่นใหม่ๆ คุณสมบัติใหม่ๆเพิ่มขึ้นมาล่อตาล่อใจให้เราเสียเงินซึ้อ ทำให้เรารู้สึกว่าไอ้สิ่งที่มีอยู่มันเริ่มด้อยค่าล้าสมัยอายชาวบ้าน ทั้งๆที่มันอาจจะไม่มีความจำเป็นเลยก็ได้ และภัยตรงนี้ก็อยู่ในบ้านทุกคนเรียบร้อยแล้ว ไม่เชื่อมาดูกันทีละเรื่องก็ได้ครับ

ก่อนอื่นเรามาดูตัวเราก่อนว่าภัยคุกคามทั้งสี่ด้านนั้นมันเกิดจากจุดอ่อนอะไร

ทุกวันนี้ผู้คนในระบบทุนนิยมถูกสอนถูกฝึกให้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เก่งด้านวิชาชีพของตนเองเพียงอย่างเดียว แต่ชีวิตในส่วนอื่นๆถูกทำให้ด้อยหมด พอเชี่ยวชาญอย่างเดียว ก็จะถูกใช้งายอย่างหนักเพราะต้องทำงานให้คุ้มเงินที่นายจ้างเสียไป พอทำงานหนัก มิติอื่นๆของชีวิตก็พลอยหดหาย ด้อยคุณภาพและฝ่อลงไปด้วย สุดท้ายเราก็ฝากสิ่งอื่นๆนอกเหนือจากสิ่งที่เราเชี่ยวชาญเอาไว้กับคนอื่นไม่ว่าจะเป็นอาหาร ยารักษาโรค เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย

และพอเราฝากปัจจัยที่จำเป็นต่อชีวิของเราทุกเรื่องเอาไว้กับคนอื่นแล้ว องค์ความรู้และภูมิปัญญาที่เกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆเหล่านี้ก็ถูกพัฒนาขึ้น ปรับปรุงให้ "ดีขึ้น" เกินความจำเป็น โดยอาศัยอ้างคุณภาพชีวิตเป็นเหตุผล แล้วบริษัทยักษ์ทั้งหลายก็จดลิขสิทธิ์หรือสิทธิบัตรองค์ความรู้น้นๆเพื่อการผูกขาดทางการค้า ส่วนองค์ความรู้ท้องถิ่นที่เคยตอบสนองต่อปัจจัยที่จำเป็นเหล่านี้ก็เลยดูด้อยค่า จนกระทั่งเกือบจะสาปสูญไปในปัจจุบัน

คิดดูก็แล้วกันครับว่า ปัจจัยสี่ทั้งหลายที่เราพึ่งพาและฝากผีฝากไข้เอาไว้กับคนอื่น ถูกจดลิขสิทธิ์และสิทธิบัตรเพื่อผูกขาดทางการค้า มันก็เหมือนจับเอาปัจจัยสี่ที่เราต้องกินต้องใช้เป็นตัวประกันแล้ว ทีนี้รู้หรือยังว่าภัยมันใกล้ตัวกว่าที่คิด

หากคุณเป็นคนเมืองหรือชอบเดินเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ต ลองนึกภาพดูนะครับว่า ถ้าซุปเปอร์มาร์เก็ตไม่มีของขาย คุณจะอยู่ยังไง? ทีนี้คงเห็นภาพชัดแล้วนะครับว่า อาหารที่เป็นปัจจัยหลักที่จำเป็นไปตกอยู่ในมือใครบ้าง นอกจากนี้ยังไม่พอ อาหารที่วางขายอยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ตนั้นยังถูกปรุงแต่งด้วยสารเคมีและสาร "สังเคราะห์"จากธรรมชาติอีกมากมาย ลองไปสังเกตที่ฉลากอาหารทั้งหลายสิครับ(ตัวเล็กจนอ่านไม่ออกเหมือนพยายามจะปิดบังอะไรบางอย่าง) มีแต่สีผสมอาหาร มีแต่การปรุงแต่งกลิ่น มีแต่ส่วนผสมที่ทำจากแป้งข้าวโพด น้ำตาล มีแต่สารสกัดจากธรรมชาติ ซึ่งสารเหล่านี้พอสกัดออกมาแล้วจะเรียกธรรมชาติได้ไหมเล่า เพราะสารที่ใช้สกัดมันก็เคมีทั้งนั้น หรือกระทั่งการใส่วิตามินเสริมหรือแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์เข้าไปโดยไม่จำเป็น(เพื่อที่จะตั้งราคาสูงๆ) ฯลฯ สรุปแล้วไอ้ที่เราซื้อกินจากชั้นวางของในห้างนั่นก็ไม่ต่างอะไรจากอาหารสัตว์นะครับ เพราะสัตว์ในฟาร์มทั้งหลายก็กินพวกข้าวโพดนี่แหละ เพียงแต่แต่งกลิ่นแต่งรสให้ถูกใจคนกินหน่อย เสร็จแล้วอาหารพวกนี้แหละที่ทำให้เราป่วยไข้เป็นโรคต่างๆมากมาย ทั้งๆที่สมัยก่อนก็ไม่เคยปรากฏว่ามีคนป่วยไข้ด้วยโรคที่เนื่องมาจากอาหารมากมายเหมือนในปัจจุบัน

ถึงตรงนี้เคยสงสัยกันไหมครับว่าคนสมัยก่อนเขาอยู่ได้ยังไง ทั้งๆที่ไม่มีสารสกัดพิเศษที่จะทำให้ร่างกายคุณแข็งแรงเป็นพิเศษทั้งหลายนั่นแหละ เพราะสารอาหารทุกอย่างนั้นธรรมชาติมีให้หมดแล้ว แค่กินอาหารให้ครบถ้วน มีเหรอมันจะขาดสารอาหาร ไม่อย่างนั้นคนสมัยก่อนเข้าก็ทุพโภชนาการน่ะสิ นี่แสดงให้เห็นว่าเราถูกหลอกให้ซื้ออาหารที่ผสมวิตามินพิเศษ กรดไขมันแบบพิเศษ และอะไรๆที่พิเศษซึ่งเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของแต่ละบริษัท เพราะสินค้าแบบธรรมดานั้นมันแข่งกันจนไม่มีกำไรแล้ว เขาก็เลยใส่นั่นนิด ใส่นี่หน่อยเข้าไปแล้วก็ปรับราคาขึ้นไปสูงๆให้มันดูพิเศษ อย่างนมวัวน่ะ แบบที่ใส่ DHA กับแบบธรรมดาน่ะ ราคาต่างกันลิบเลยทั้งๆที่ไขมันในนมวัวนั้น ร่างกายของเราสามารถย่อยออกมาได้เป็น DHA อยู่แล้ว จริงๆเด็กก็ไม่ได้โตด้วยแคลเซียมในนมวัวนะครับ แต่โตด้วยฮอร์โมนเร่งโตที่ฟาร์มฉีดให้วัว!

ไม่เท่านั้น พวกน้ำอัดลม น้ำหลากสีหลากรสนั่นกีอีก ถ้าไปดูกันดีๆนี่สารเคมีปรุงแต่งกลิ่น สี รสทั้งนั้น ก็เพราะอะไรครับ ก็เพราะเราดื่มกินตามใจปากนั่นแหละ เขาก็เลยสนองความอยากให้เต็มๆ ส่วนภาพอาหารที่ดูสดใหม่ทั้งหลายก็เป็นผลงานของสารเคมีทั้งนั้นที่ผู้ผลิต "อัพยา" ให้มันจนดูน่ากินไปหมด

นี่ไม่นับว่าน้ำตาล เกลือ และผงชูรสในปริมาณเกินความต้องการของร่างกายที่อยู่ในอาหารหลายประเภทก็ยังเป็นเหตุให้เกิดโรคอีกมากมายด้วยซ้ำไป

วิธีการกระตุ้นให้คนซื้อสินค้าประเภทอาหารก็ง่ายๆครับ โฆษณาให้ดูน่ากินเข้าไว้ เอาพรีเซนเตอร์มาทำท่ากินอาหารให้มันดูน่ากิน โดยที่เนื้อในของอาหารนั้นมันคืออะไรเราก็ไม่รู้ หรือรู้ก็ไม่สน เพราะมันอร่อยนี่ ยิ่งสมัยนี้ที่เทคโนโลยีด้านอาหารก้าวหน้าไปมาก จนขนาดที่ว่าเขา มีการออกแบบอาหารด้วยวิธีการทางวิศวพันธุกรรมกันแล้ว คือปรับแต่งสัตว์ที่ใช้ผลิตอาหารตั้งแต่ก่อนมันเกิดเป็นตัวเลยด้วยซ้ำ หรือพูดง่ายๆคือมันเป็นอาหารที่ปรับแต่งพันธุกรรมเพื่อผลทางการค้าแล้วนั่นเอง ไม่ใช่อาหารที่ได้มาจากธรรมชาติจริงๆ

ไปดูในฟาร์มเลี้ยงวัวระบบอุตสาหกรรมที่อเมริกาสิครับ แทบไม่มีแล้วที่ให้วัวกินหญ้า เขาให้กินเมล็ดข้าวโพดซึ่งถูกกว่ามากๆแทน แล้วถามว่าระบบย่อยอาหารของวัวซึ่งปกติมันต้องกินหญ้ากินใบไม้ แต่ดันต้องเปลี่ยนมากินเมล็ดข้าวโพดน่ะ มันจะผิดปกติไหมเล่า ไม่ต้องพิสูจน์อะไรหรอกครับ ทุกวันนี้เนื้อสัตว์ที่เรากินเข้าไปนั้นเต็มไปด้วยยาปฏิชีวนะ ฮอร์โมน แล้วสัตว์ที่ถูกเลี้ยงในที่แคบๆ ถูกบังคับให้ต้องกินอาหารตลอดเวลาไม่มีพัก มันจะไม่เครียดหรือ? มันจะไม่อ่อนแอหรือ? แล้วสารที่หลั่งออกมาในเนื้อของมันเมื่อสัตว์เครียดมันจะไม่มาถึงคนกินได้ยังไงเล่า

สังเกตง่ายๆ เดี่ยวนี้พอไข้หวัดนกระบาด ไก่ตายยกฟาร์มหรือไม่ก็ต้องฆ่าทิ้งหมด ก็เพราะอะไรครับ ก็เพราะมันอ่อนแอไง ถึงต้องอัดยาปฏิชีวนะเข้าไปเยอะๆ เยอะขนาดที่ว่าเจ้าของฟาร์มบางรายก็แพ้ยาปฏิชีวนะไปเลยก็มี

ในขณะเดียวกันอาหารที่มาจากธรรมชาติแท้ๆปลอดสารเคมี ก็กลับกลายเป็นของเกรดสูง หายาก ราคาแพงไปซะงั้น ส่วนไอ้ที่ราคาถูกๆก็มีแต่สารเคมีกันเต็มพิกัด นี่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าคนส่วนใหญ่ที่มีรายได้ไม่มากมายนึก หมดสิทธิ์ที่จะมีสุขภาพดีด้วยอาหารที่มีคุณภาพเป็นที่แน่นอนแล้ว

แล้วคุณรู้ไหมว่าโรคภัยไข้เจ็บที่เราเป็นกันอยู่ทุกวันนี้มีสาเหตุหลักมาจากแค่สองสาเหตุเท่านั้น ก็คือ ความเครียด กับ อาหาร นั่นแหละ

โปรดติดตามตอนต่อไป

No comments:

Post a Comment