ความเครียดนั้นเกิดจากอะไร?
ความเครียดนั้นเกิดจากความคาดหวังต่อสิ่งต่างๆ
อยากจะให้มันดี อยากจะให้มันสวยงาม อยากจะให้มันเป็นไปตามฝัน
หรืออาจจะเกิดจากความบีบคั้นทั้งในเชิงกายภาพ พื้นที่อยู่อาศัย สังคมรอบข้าง
ครอบครัว และสิ่งต่างๆที่เราไป "ผูก" อยู่ด้วย ซึ่งทุกวันนี้เราก็อาศัยและทำงานกันอยู่บนความเครียดตลอดเวลานี่แหละ
แล้วความเครียดจากการทำงาน
จากการใช้ชีวิตเบียดเสียด แออัดยัดเยียด ก็ทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายผิดปกติ
และหลั่งสารที่ทำร้ายเซลส์ในร่างกายออกมาอยู่ตลอด
ส่วนอาหารที่มีสารพิษและสารเคมีปนเปื้อนทุกๆมื้อก็เป็นทั้งสาเหตุและตัวเร่งปฏิกิริยาให้ร่างกายเจ็บป่วยได้เร็วขึ้น
พอมีปัจจัยทั้งสองอย่างนี้เข้ามาในชีวิตคนในระบบทุน
โรคภัยไข้เจ็บจึงถามหาเอากับคนจำนวนมากอย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็น โรคหัวใจ โรคอ้วน
โรคหลอดเลือดอุดตัน โรคหลอดเลือดแข็งตัว โรคเบาหวาน โรคความดัน มะเร็งชนิดต่างๆ
ภูมิแพ้ ฯลฯ อีกมากมาย จนแทบไม่น่าเชื่อว่า ทั้งๆที่เราอยู่ในยุคสมัยที่มีความเจริญก้าวหน้าในวิทยาการด้านต่างๆมากมายขนาดนี้
แต่โรคภัยไข้เจ็บต่างๆก็เพิ่มมากขึ้นและรุมเร้าเราได้มากพอๆกับความเจริญที่มีที่เป็นอยู่
ณ ปัจจุบัน
พอเจอโรครุมเร้าขนาดนี้
ผู้ที่(คิดว่าตัวเอง)ไม่มีทางเลือกทั้งหลาย
ก็ต้องวิ่งไปพึ่งการแพทย์สมัยใหม่และระบบสาธารณสุขที่มีอยู่แทบจะเป็นตัวเลือกเดียว
แต่แทนที่จะเป็นการหนีร้อนมาพึ่งเย็น ก็กลับกลายเป็นว่าสถานการณ์ยิ่งแย่ลงไปอีก
เพราะทุกวันนี้ค่ารักษาพยาบาลก็แพงขึ้นทุกวันๆ บางที่แค่รักษาหวัด
ค่ายาค่าหมอก็ล่อเข้าไปสองพันกว่าๆแล้ว นี่แค่โรคพื้นๆนะครับ
ถ้าเป็นโรคที่หนักกว่าไข้หวัด
คนป่วยก็อาจจะตายเพราะค่ารักษาพยาบาลก่อนอาการของโรคก็เป็นได้
ไม่เพียงแค่ค่ารักษาพยาบาลที่ดูเหมือนจะกลายเป็นเรื่องธุรกิจแทนที่จะเป็นการรักษาคนป่วยเป็นอันดับแรก
เรื่องราวของความฉ้อฉลของบริษัทยาและระบบสาธารณสุขนั้นก็มีอยู่มากมาย
แต่ข่าวอื้อฉาวส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ถูกติดตามอย่างต่อเนื่อง
และหายไปในระยะเวลาอันรวดเร็ว เหตุผลนั้นก็ลองคิดเอาเองครับว่าบริษัทยักษ์ใหญ่หรือเครือข่ายโรงพยาบาลที่มีมูลค่าธุรกิจมหาศาลจะยอมให้ตัวเองล้มละลายกับแค่ข่าวการฉ้อฉลนิดๆหน่อยๆงั้นเหรอ
ไม่มีทางครับ
แค่นี้ยังไม่หนำใจครับ
รู้หรือเปล่าว่า ยาบางตัวที่มีอยู่ในตลาดทุกวันนี้
ไม่มีประสิทธิภาพในการรักษาอย่างแท้จริงด้วยซ้ำ แต่ก็ยังมีขายตามร้านขายยาเป็นปกติ
แล้วคนไทยก็ซื้อกินกันแบบไม่รู้เรื่องจนกระทั่งทุกวันนี้
การแพทย์สมัยใหม่
จำกัดทางเลือกของเราจนแทบจะหมดสิ้น มันถูกนำเสนอด้วยภาพอันสวยงาม
มีงานวิจัยที่ดูเหมือนจะน่าเชื่อถือมาอ้างอิงเพื่อขายของ
ซึ่งหลายครั้งงานวิจัยในหัวข้อเดียวกันกลับให้ผลลัพธ์ตรงกันข้ามขัดแย้งกันเองก็มี (ก็นะ...เขาจะขายของน่ะ จะให้พูดขัดกับสิ่งที่ตนนำเสนอก็กระไรอยู่)
แถมอุตสาหกรรมการแพทย์สมัยใหม่ยังหาวิธีกีดกันการแพทย์ทางเลือกเพื่อที่จะผูกขายซ้ำเติมเข้าไปอีก
ด้วยการผลักดันภาครัฐให้ออกกฏข้อบังคับเชิงกฏหมายต่อการแพทย์ทางเลือกในทุกวิถีทาง
ทำให้ต้องใช้ต้นทุนมากขึ้นเพื่อทำทุกอย่างให้ได้ตามมาตรฐานสากลที่ตัวเองยึดถือ
ทั้งๆที่การแพทย์ทางเลือกได้ถูกพิสูจน์จริงแล้วในขั้นการรักษา
แต่ก็ยังถูกกีดกันไม่ให้เกิดการยอมรับในวงกว้างเพียงเพราะว่ามัน
"ไม่ขายยา" (ในธุรกิจการแพทย์นั้น
บริษัทยามีอิทธิพลมากขนาดไหนเป็นที่รู้กันดี) หรือพูดง่ายๆคือ "ไม่ทำเงิน"
นั่นเอง
ถามกลับครับว่าการหาประโยชน์จนเกินพอดีจากความเจ็บไข้ได้ป่วยของผู้คนทั้งหลายนั้น
คุณคิดว่าเป็นอาชญกรรมอย่างหนึ่ง เหมือนจับคนไข้เป็นตัวประกันน่ะ
ทุกวันนี้มันเกิดแบบนี้จริงๆแล้วนะครับ
เพียงแต่มันเป็นรูปแบบที่ถูกกฏหมายเท่านั้นเอง
ตัวผมเองนั้น
รักษาภุมิแพ้มาสิบกว่ายี่สิบปีก็ไม่หาย มาหายตอนดื่มปัสสาวะแค่สองสัปดาห์นี่แหละ
หรืออาการที่เคยหยุดหายใจตอนกลางคืน ก็หายด้วยการฝังเข็ม
แถมหายในราคาค่ารักษาที่ถูกกว่าค่านอนตรวจการกรนเสียอีก
จากคนที่เคยหาหมอทุกเดือนกินยาทุกวัน จนวันนี้ผมไม่ได้หาหมอแผนปัจจุบันมาแล้วเกือบๆ
4 ปี และหากว่าเกิดเป็นโรคอะไรขึ้นมาอีกก็ขอใช้แนวทางแพทย์ทางเลือกเป็นอันดับแรก
อย่างน้อยผมก็ไม่ต้องตายด้วยใบแจ้งหนี้การรักษาที่แพงจนดูเหมือนว่ามันจะอันตรายกว่าตัวโรคเองเสียอีก
มีอีกตัวอย่างหนึ่งคือโรคมะเร็ง
ซึ่งเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดมากๆว่า
การแพทย์สมัยใหม่ยังไม่สามารถรักษาโรคมะเร็งได้จริง
แต่การแพทย์ทางเลือกกลับรักษาคนป่วยโรคมะเร็งให้หายขาดไปแล้วมากมาย จนถึงวันนี้
เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเล่าเลื่อนลอยอีกต่อไปเพราะ คนป่วยที่หายจากมะเร็งด้วยการแพทย์ทางเลือกมีมากขึ้นทั่วโลกอย่างเห็นได้ชัด
แม้กระทั่งในประเทศสหรัฐอเมริกาที่เป็นผู้นำด้านการแพทย์สมัยใหม่ยังอ้าแขนรับการแพทย์ทางเลือกแล้ว
ขณะที่การรักษามะเร็งด้วยการแพทย์สมัยใหม่เริ่มถูกตั้งคำถามมากขึ้นถึงประสิทธิผลในการรักษาโรค
มีตัวอย่างที่ทั้งน่าขันและน่ากลัวคือมีผู้ชายคนหนึ่งนามว่า
Jason Vale ได้ศึกษาการรักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีธรรมชาติและพบว่าเมล็ดแอปปริคอตนั้นช่วยรักษาโรคมะเร็งได้เป็นอย่างดี
แต่พอชายคนนี้เริ่มบอกต่อๆว่าเมล็ดแอปปริคอตช่วย "รักษา" โรคมะเร็งได้
เมื่อ FDA หรือองค์การอาหารและยาของอเมริกาได้ยินเข้าก็ฟ้องชายผู้นี้จนต้องดิตคุก
ดูนะครับว่าบริษัทยายักษ์ใหญ่ของอเมริกามีอิทธิพลต่อ FDA ขนาดไหน
การแพทย์แผนปัจจุบันส่วนใหญ่ไม่ได้แก้ไขที่ต้นเหตุของโรค
แต่กลับใช้วิธี "บรรเทาอาการ" หรือไปรักษาอาการที่ปลายเหตุ
แต่ไม่ได้ชี้และป้องกันต้นเหตุของการเกิดโรค ดังนั้น
หลายๆโรคพอได้รับยาแล้วก็หายไปพักหนึ่งก่อนที่จะกลับมาอีก
หรือบางโรคก็ต้องกินยาพยุงอาการไปเรื่อยๆไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้
คิดดูก็แล้วกันว่าจะต้องใช้เงินค่าพยุงอาการไปอีกเท่าไหร่
(หรืออาจจะพบวิธีรักษาโรคต่างๆแล้วแต่เอายาบรรเทาอาการออกมาขายให้รวยดีกว่า
ยังไงก็ต้องตายกันอยู่แล้ว!)
นี่ไม่นับปรากฏการณ์
"เลี้ยงไข้" และเลือกรับคนไข้ของโรงพยาบาลหลายแห่งที่เกิดขึ้นจริง
เพียงแต่อาจจะไม่มีใรครกล้าเปิดเผยหรืออาจจะไม่อยากต่อความก็ได้
คุณภาพของแพทย์รุ่นใหม่ก็เป็นอีกเรื่องที่สร้างปัญหาให้กับระบบสาธารณสุขมาก
เพราะแพทย์รุ่นใหม่ๆขาดจรรยาบรรณ ความอดทน เสียสละ มุ่งหวังเอาแต่เงินทอง
ชื่อเสียง และความสุขสบายกันมากกว่าที่จะอุทิศตัวเพื่อการรักษาคนป่วยอย่างแท้จริง
ทุกวันนี้เราจึงเห็นคนป่วยฉุกเฉินที่เข้าไปโรงพยาบาลบางแห่ง แล้วกลับถูกถามว่า
"มีเงินหรือเปล่า" ถ้ามีเงินก็รอดเข้าไปให้เขาเลี้ยงไข้เป็นลำดับต่อไป
ทุกวันนี้หมอดีๆ
โรงพยาบาลดีๆก็เลยล้มหายตายจากไปพร้อมๆกับหมอรุ่นเก่าๆ
ระบบการรักษาทุกวันนี้ก็กลับกลายเป็น "ธุรกิจการแพทย์" ไปแทนที่
ในอนาคตระบบสาธารณสุขของไทยก็จะเหมือนกับอเมริกาครับ
คือ
ถ้าไม่มีประกันสุขภาพก็ต้องตายเพราะค่ารักษาพยาบาลที่แพงจนคนธรรมดาไม่สามารถจ่ายได้นั่นแหละ
และเมื่อการแพทย์กลายเป็นธุรกิจ
การขายยาและรักษาโรคสามารถทำเงินได้มหาศาล ประกอบเชื้อโรคใหม่ๆ
และโรคเดิมๆที่มีจำนวนคนป่วยเพิ่มมากขึ้น
ได้กลายเป็นขุมทองในการกอบโกยเงินของธุรกิจการแพทย์
คุณคิดหรือว่าบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้จะยอมให้คุณปลอดจากโรคที่เป็นอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพจริงๆ?
คุณแน่ใจได้อย่างไรว่าเชื้อโรคใหม่ๆที่เกิดขึ้นและคร่าชีวิตคนจำนวนมากจะไม่ได้มาจากห้องทดลองของบริษัทยาเหล่านั้น? คุณจะแน่ใจได้อย่างไรว่าโรงพยาบาลจะไม่แอบเลี้ยงไข้คุณเพื่อฉวยโอกาสปอกลอกคุณ? ในเมื่อธุรกิจเหล่านี้ทำเงินมหาศาลจากความเจ็บไข้ได้ป่วยของทุกคน
แล้วมีหรือที่เขาต้องการให้เรามีสุขภาพแข็งแรงจริงๆ?
และด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงด้านการแพทย์ในปัจจุบัน
ประกอบกับความกลัวเรื่องสุขลักษณะ ทำให้เราอยู่กันแบบปลอดเชื้อมากยิ่งกว่ายุดใดๆ
เด็กเดี๋ยวนี้แทบไม่มีแล้วครับ ที่จะได้เล่นโคลน เล่นทราย เล่นน้ำท่วมขัง
ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เรายังไม่อนามัยจัดกันขนาดนี้ พอเราห่างไกลจากเชื้อโรคที่เราคุ้นเคยและไม่ก่อโรคให้เรามากขึ้น
มันเลยทำให้เราขาดภูมิคุ้มกันและเชื้อโรคเหล่านั้น
และกลับกลายเป็นเชื้อโรคอันตรายขึ้นมาทันที
คิดดูสิครับว่าร่างกายคนในปัจจุบันอ่อนแอกันแค่ไหน
เอะอะก็ต้องพึ่งยาปฏิชีวนะที่นับวัน ร่างกายคนเราก็ดื้อยามากขึ้นเรื่อยๆ
เหมือนติดกับดักความเจริญของตัวเองยังไงยังงั้น
อย่างที่อเมริกา
หากใครเป็นไข้หวัด เขาจะห้ามไม่ให้ไปทำงานเลย เพราะเชื้อหวัดที่อเมริกาแรงมาก
ฝรั่งบางคนเป็นหวัดที่เมืองไทย กินยาไทยก็เอาไม่อยู่ครับ
ต้องกินยาในปริมาณที่มากกว่าคนไทย 2-3 เท่าถึงจะพอได้
ไม่เท่านั้น
ลักษณะการทำงานและสถานที่ทำงานที่อยู่ในตึกสูง
เป็นสภาพปิดล้อมที่ก่อให้เกิดเชื้อโรคที่แพร่ในอากาศไหลเวียนในตึกได้ง่ายมาก
เมื่อสมัยที่ผมทำงานประจำนั้น ผมมีอาการหลอดลมอักเสบบ่อยมาก
ต้องหาหมออย่างน้อยเดือนละครั้ง เพราะคุณภาพอากาศในสำนักงานนั้นต่ำกว่าค่ามาตรฐาน
ผลตรวจสอบออกมาแต่ก็ไม่รู้จะไปโวยกับใคร บริษัทก็บอกว่าจะแก้ไขแต่ก็เงียบไป
โดยเฉพาะเรื่องฝุ่นที่อยู่ในระบบปรับอากาศซึ่งยังไม่นับเชื้อโรคเชื้อราอีกมากมายที่ปะปนอยู่ด้วย
แถมการทำงานก็ยังต้องนั่งเคร่งเครียดจมแช่อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ ไม่ค่อยมีการเคลื่อนไหว
ยิ่งทำให้ร่างกายอ่อนแอลงจนกลายเป็นคนขี้โรค แล้วเชื่อไหมว่า
หลังจากผมออกจากงานประจำมา โรคต่างๆก็ค่อยๆหายไปทีละน้อยๆในที่สุด
ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล และทุกข์ทางร่างกายก็ค่อยๆน้อยลงไปด้วยตามลำดับ
แล้วถ้าใครหวังพึ่งระบบรัฐสวัสดิการหรือระบบประกันก็เลิกหวังได้เลยครับ
เพราะในที่สุด
เราก็จะเหมือนประเทศในยูโรโซนที่ต้องกู้เงินมาอุ้มระบบสวัสดิการจนเป็นหนี้สาธารณะกันหัวโต
จนระบบจะล่มสลายอยู่แล้ว เราเองก็หนีไม่พ้นหรอกครับ ก็มันไปทางเดียวกันไงเล่า
แล้วจะรอดไปได้ยังไง
โปรดติดตามตอนต่อไป
No comments:
Post a Comment