เมื่อ 6-7
ปีก่อน(อ้างอิงจากปี 2555 ย้อนหลังไป) ผมเคยไปดูบ้านเดี่ยวชานเมือง
ฝันว่าอยากจะมีบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ มีที่เอาไว้ปลูกสวนสวยๆ ก็เลยขับไปดูทำเลที่สนใจ
เมื่อก่อนนั้นบ้านเดี่ยวราคายังไม่แพงมากครับระดับกลางๆก็แค่ 2.5-4 ล้าน
ถ้าหรูหน่อยก็ 5-6 ล้าน แต่พอมา ณ ปัจจุบัน เงิน 2.5-4
ล้านซื้อได้แค่ห้องคอนโดเล็กๆ ส่วนเงิน 5-6 ล้านก็ซื้อได้เพียง
บ้านเดี่ยวหลังเล็กๆเท่าแมวดิ้นตาย แถมออกไปไกลจากตัวเมืองมากๆ
ที่ผมไม่ซื้อบ้านเดี่ยวตอนนั้นก็เพราะ
พิจารณาดูแล้วว่าอาจจะตายเพราะค่าน้ำมันรถเสียก่อน
คิดดูนะครับว่าถ้าซื้อบ้านเดี่ยวชานเมือง ผมจะต้องซื้อรถของตัวเองอีกคันหนึ่ง
ต้องจ่ายค่าน้ำมันอีกเป็นหมื่น ก็ต้องทำงานหนักหาเงินมาผ่อนทั้งบ้านและรถ
พอทำงานหนักขึ้น บ้านก็ไม่ใช่บ้านแล้วครับ กลับบ้านดึกก็เอาไว้ซุกหัวนอนอย่างเดียว
กลายเป็นที่ซุกหัวนอนของทาส เป็นทาสในเรือนเบี้ยยุคใหม่
ที่เข้านอนด้วยความกังวลมากมาย
ตั้งแต่เรื่องความดิ้นรนทำมาหากินไปจนถึงเรื่องจิปาถะที่หาใส่ตัวเพื่อให้ได้ความสะดวกสบาย
ขนาดพระอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้นก็ต้องขับรถออกมาติดนรกบนถนนอีก
ซึ่งดูไปดูมามันตลกมากกับตรรกะคนเมืองที่พยายามทำชีวิตให้สมบูรณ์แบบ
แต่ต้องแลกมาด้วยภาระทาสที่ต้องแบกไปอีกตลอดชีวิต
พิจารณาดูสิครับว่าราคาบ้านทุกวันนี้
ในระดับราคาที่เห็นกันอยู่นี้
คนชั้นกลางไปจนถึงระดับล่างก็หมดสิทธิ์จะอยู่พื้นราบล่ะครับ
ต้องหนีขึ้นคอนโดอย่างเดียว แถมทุกวันนี้ห้องก็เริ่มเล็กลงเรื่อยๆ
จนแทบจะเป็นรูหนูอยู่แล้ว และอีกไม่นาน ผมเชื่อว่า แม้แต่คอนโดเล็กๆก็เถอะ
เชื่อได้ว่าคนส่วนใหญ่ก็จะไม่มีปัญญาซื้อครับ ได้แต่เช่าห้องอยู่ไปเดือนต่อเดือน
ส่วนคนที่มีปัญญาซื้อบ้านก็ไม่ต้องไปอิจฉาเขาหรอกครับ
เพราะเขาต้องติดสัญญาทาสไปตลอดชีวิต เรียกว่าผ่อนกันจนแก่หง่อมไปข้างหนึ่ง
แบบนี้จะเรียกว่าความเจริญกันได้อีกไหมเล่าครับ
นี่แค่บ้านนะครับ
ยังไม่นับรวมเฟอร์นิเจอร์และอะไรอีกหลายอย่างที่จะต้องหามาใส่ในบ้านในฝันของเรา
ซึ่งสุดท้ายสิ่งต่างๆเหล่านั้นก็ดันทำให้เราเป็นทาสภาระหนี้ไปเสียอีก
กลายเป็นอยู่เพื่อชำระหนี้ ไม่ได้อยู่ด้วยความสงบสุขในชีวิตอีกต่อไป
เดี๋ยวรอดูเถอะครับ
เมื่อไหร่ก็ตามที่เปิดเสรีอาเซียนหรือ AEC สถานการณ์อสังหาริมทรัพย์สำหรับคนไทยจะยิ่งเลวร้ายลงมากกว่านี้อีก
จบเรื่องอสังหาริมทรัพย์ที่มาพร้อมกับภาระทาสแล้วมาว่าด้วย
ปัจจัยสี่ข้อสุดท้ายดีกว่าครับ เรื่องเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม
ซึ่งดูเหมือนจะไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่ แต่ผมขอรวมพวกมือถือ แท็ปเล็ต
และอุปกรณ์ที่เรียกรวมๆว่า Gadget เข้าไปด้วยก็แล้วกัน
พอดีผมเองไม่เคยใส่เสื้อผ้าแบรนด์เนม
(ผมจึงไม่ค่อยรู้จักแบรนด์เสื้อผ้าหรอก ถึงปลอมมาก็ไม่รู้ว่ามันปลอมจากยี่ห้ออะไร)
ก็เลยไม่ค่อยรู้สึกเท่าไหร่ แต่เรื่องนี้มีผลโดยตรงต่อวัยรุ่น
เพราะเป็นวัยที่แสวงหาตัวเอง พวกผู้ผลิตเสื้อผ้าก็เลยโฆษณาว่า นี่สิจะทำให้คุณดูคูล
อะไรไปนั่น ว่าแล้ววัยรุ่นทั้งหลาย(หรือรวมที่ไม่วัยรุ่นด้วยก็ได้)
ก็หาเสื้อผ้าแบรนด์เนมมาใส่ทั้งๆที่ยังหาเงินเองไม่ได้ ต้องเดือดร้อนพ่อแม่อีก
(เห็นหรือยังว่ามันก็เป็นภัยที่เข้ามาทางประตูหลังเหมือนกัน)
คุณค่าของคนทุกวันนี้มันก็เลยถูกลากขึ้นไปตั้งเอาไว้บนหิ้งที่นักโฆษณาอุปโลกน์ขึ้นมา
ว่าถ้าคุณแต่งตัวแบบนี้ มีมือถือแบบนี้ คุณขึ้นหิ้ง เป็นผู้นำเทรนด์
(ตามตูดเขาชัดๆยังจะว่านำเทรนด์อีก...ฮา) โดยหารู้ไม่ว่าคนที่ขึ้นหิ้งจริงๆ
มันไม่สนเทรนด์นะจ๊ะ คือปลอดจากอิทธิพลทางความคิดใดๆ เป็นอิสระแท้จริง
ไม่ให้ค่ากับอะไรเลยที่มีคนบอกว่าอันนี้ดี อันนี้เจ๋ง
ส่วนไอ้พวกที่เอาแบรนด์เนมปะๆตัวเองเข้าไปน่ะ
ถามจริงๆว่าคนเขามองที่ตัวคนหรือไปมองที่เสื้อผ้า
เรื่องนี้ก็เหมือนจ้างพริตตี้มายืนขายรถนั่นแหละครับ ถึงที่สุดแล้วก็ได้แต่ลุ้นว่าน้องๆเขาจะทำอะไรหกเป็นบุญตาหรือเปล่า
อิอิ
นอกจากเสื้อผ้าที่ผมคิดว่าเป็นเรื่องจิ๊บๆแล้ว
ก็จะมีเรื่องมือถือ แท็ปเล็ต Gadget ทั้งหลายนั่นแหละที่หนักหนากว่า ไม่เชื่อลองไปขึ้นรถไฟฟ้าดูสักรอบสิครับ
แล้วจะเห็นผู้คนมากมายที่ก้มหน้าก้มตาจิ้มๆเขี่ยๆมือถือ Smart
phone ราวกับจะคุ้ยเขี่ยหาความสุขในชีวิตอยู่ตลอดเวลา
จะเปลี่ยนมือถือรุ่นแล้วรุ่นเล่าก็ยังไม่เห็นว่าจะหาเจอสักที Smart กันซะจริงๆ
ดูนะครับว่า
Smart phone สมัยนี้มันถูกๆซะที่ไหน
แต่ละเครื่องล่อเข้าไปสองหมื่นกว่าๆ แถมบริการผ่อนสิบเดือนด้วยนะ
เอากันง่ายๆแบบนี้แหละ แล้วมันก็ตกรุ่นเร็วมากๆจน
ใครที่ใช้มือถือเกินสองปีกลายเป็นไดโนเสาร์กันง่ายๆเลยล่ะ(ถ้าเป็นแบบนี้จริง
ผมก็น่าจะเข้าข่ายเป็นฟอสซิลแล้วล่ะ...ฮา)
บางคนถึงกับยอมเป็นหนี้เพื่อให้มีมือถือรุ่นล่าสุดมาถือ
เด็กบางคนยอมอดมื้อกินมื้อเพื่อเก็บเงินซื้อมือถือด้วยซ้ำ
ก็อยากจะบอกว่าถ้าใครมีมือถือที่สูงกว่าสถานะที่ตนจะมีได้นะ
ข้อแรกเลยคือมันอันตราย อาจจะโดนนักเลงตบเอาไปได้ง่ายๆ
หรือถ้าระวังตัวดีๆก็ต้องใช้แบบหลบๆซ่อนๆ ข้อสองคือ มันดูตลกครับ
มันแสดงให้คนอื่นเห็นเลยว่า คุณใช้เงินเกินตัว
และทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มือถือมาใช้
อีกเรื่องหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในปัจจัยสี่
แต่ก็แทบจะกลายเป็นปัจจัยที่ห้าไปแล้ว สิ่งนั้นก็คือ รถยนต์ นั่นเอง
แต่เรื่องนี้ยาว เอาไปขยายกันได้อีกตอนหนึ่งก็แล้วกัน
เอาเป็นว่าที่สุดแล้ว
ค่านิยมที่บิดเบี้ยวเหล่านี้ ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับผมหรอกครับ
มันเป็นปัญหาของคุณเองทั้งนั้น
เป็นสิ่งที่เหมือนจะแก้ปัญหาแต่จริงๆแล้วมันทำให้คุณแบกทุกข์โดยไม่รู้ตัว
และที่ผมมาเขียนบทความให้คุณอ่านนี่ก็เพื่อที่จะเปิดสิ่งที่ปิดบังอยู่ให้คุณได้รู้ว่า
ทั้งหมดมันเป็นเหตุแห่งทุกข์ของตัวคุณเองนั่นแหละ
ในความเป็นจริง
ทุกวันนี้เราทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่ได้พาเราไปพบความสุขหรือสันติสุขของชีวิตเลยแม้แต่อย่างเดียว
แต่เราก็คิดว่ามันจะพาเราไปถึงจุดนั้นได้ เราถูกหลอก ปิดบัง ล่อลวง อำพราง
วางกับดักให้ไปสู่กระบวนการวิ่งรอกหาเงินเพื่อสนองอุปาทานของผู้ผลิตโดยความร่วมมือของนักโฆษณาและการประชาสัมพันธ์ที่หลอกลวงหรือพูดความจริงเพียงครึ่งเดียว
ก็เขาจะล้วงกระเป๋าคุณน่ะจะให้พูดความจริงได้อย่างไรเล่า
ทั้งหมดนี้เป็นภัยสี่ด้านที่มาพร้อมปัจจัยสี่
ซึ่งดูเหมือนจะยังความสะดวกสบายให้กับชีวิตได้เต็มที่ตามที่คุณวาดหวังไว้...ตราบเท่าที่คุณยังคงหาเงินได้เพียงพอที่จะจ่าย
และ...ไม่เซ็ง ไม่ซวย ไม่ป่วย ไม่ตาย ไม่พิการ ไม่ล้ม ไม่หยุดวิ่งไปเสียก่อน
เงื่อนไขนิดเดียวเองครับสำหรับหาเงินซื้อข้าวกินวันละสามมื้อ จิ๊บๆเนอะว่าไหม..ฮา
ณ วันนี้
ระบบทุนนิยมได้ก้าวข้ามเส้นแบ่งทางจริยธรรมและศีลธรรมมาไกลแล้ว
มันข้ามมาเพื่อทำทุกวิถีทางในการที่จะล้วงเงินคุณออกจากกระเป๋า
แม้กระทั่งล่อลวงมันก็เอา..น่ากลัวหรือยัง และในวันที่เราดูเหมือนไม่มีทางออก
เพราะระบบทุนได้ครอบงำ แพร่เชื้อชั่วเข้าไปในทุกวงการแม้กระทั่งการเกษตรก็ไม่เว้น
แถมทำให้คนเหล่านั้นดิ้นเร่าๆไม่แพ้คนในเมืองเพราะพิษสงความอยาก...น่าสงสารเนอะอยู่กับขุมทรัพย์แต่มองไม่เห็นทรัพย์
พวกเราก็เหมือนกันหมดนั่นแหละครับ
คือมักจะมองข้ามความปรารถนาดีของพ่อแม่ เห็นคำเตือนของท่านเป็นเรื่องเชย ล้าสมัย
น่าเหน็ดเหนื่อย ไม่เห็นจะสบายตรงไหน ไม่เห็นมีคุณค่าอะไร
และทุกครั้งที่มีคนคิดแบบนี้ มันก็สายเกินกว่าที่จะแก้แล้ว
อันนี้เปรียบเทียบกันคนไทยเลยตรงๆ
ในหลวงท่านเตือนเรามานานแล้วด้วยหลักเศรษฐกิจพอเพียง
แต่จะมีสักกี่คนที่เข้าใจและตระหนักว่า
เรากำลังจะกลายเป็นทาสทางเศรษฐกิจในอีกไม่ช้า
ย้ำนะครับว่าอีกไม่ช้าแล้ว
เพราะทุกวันนี้ระบบทุนนิยมกินรวบไปหมดทุกพื้นที่ของโลกแล้ว
สิ่งดีๆที่เหลืออยู่ในประเทศไทยก็กำลังจะโดนฮุบแล้วเช่นกัน
ถ้าเรายังพอใจที่จะเป็นทาสทุนกันอยู่อย่างนี้
รับรองว่าอีกไม่นานทางเลือกที่เราพอมีอยู่ตอนนี้ก็จะหมดลง
ทีนี้ล่ะครับ
ได้เป็นทาสเต็มตัวสมใจอยากแน่ๆ
No comments:
Post a Comment