ความเครียด
ความบีบคั้นกดดัน ความคาดหวัง การแสวงหาสิ่งใหม่ๆ การแสวงหาชีวิตที่ดีกว่า
การไต่เต้าไปหาชีวิตที่ปรารถนา ฯลฯ
คนส่วนใหญ่นั้นเชื่อว่าตัวเองได้ลงมือแก้ปัญหาชีวิตอยู่ทุกวัน
หลงคิดว่าชีวิตจะมีปัญหาน้อยลงเรื่อยๆ ก็เลยได้แต่สาละวนหาอยู่หากิน
ตะเกียกตะกายหาทางขึ้นหิ้งให้ได้ แถมแอบมองพวกที่ทำพออยู่พอกินแบบเหยียดๆอีก
หารู้ไม่ว่าตัวเองนั่นแหละ ที่หาเรื่องใส่ตัวเองไม่เว้นแต่ละวัน
มันก็เลยเครียดมากยิ่งขึ้นไงเล่า
ชีวิตที่ดีขึ้น
มันควรจะดีขึ้นทันที
ไม่ใช่ต้องไปทนทุกข์ยาวนานแล้วก็หวังลมๆแล้งๆว่าชีวิตข้างหน้าจะดีขึ้น
เหตุนี้เองที่ทำให้คนทุกวันนี้ได้แต่นั่งทับเหตุแห่งทุกข์ของตนโดยไม่รู้ตัว
แถมเอาเหตุแห่งทุกข์ใหม่มาสุมไฟเผาผีตัวเองอีก แล้วก็บ่นว่าชีวิตมันบีบคั้น
อย่างนั้นอย่างนี้ ก็แหงสิครับ
ชีวิตคนที่มีแต่การสร้างเงื่อนไขว่าจะให้ชีวิตมันดีอย่างโน้นอย่างนี้
มันก็บีบคั้นเป็นธรรมดา ไม่ต้องโทษใครหรอก
ถ้าไม่เชื่อจะยกตัวอย่างง่ายๆ เรื่องอาหารการกิน
ทุกวันนี้เรากินแต่ของสำเร็จรูป คนอื่นเขาทำเสร็จแล้วเราก็ไปนั่งกินสบายๆ เราอยากจะกินอะไรเราก็สั่งเอา แล้วอาหารที่เรากินเข้าไปก็มีแต่สารพิษในทุกส่วนประกอบ
ผงชูรสที่ทำให้ลิ้นชาและมึนหัว เป็นอาหารที่มีแต่โทษภัยจนทำให้เราเจ็บป่วย จะไปโทษคนขายก็ไม่ได้
เพราะคนขายเขาทำตามใจปากเราไง กำไรสูงสุดไง และถ้าไม่อร่อยเราก็ไม่ซื้อกิน จริงไหม แต่พอกินตามใจปาก เราก็มีต้นทุนใหม่เป็นความเจ็บป่วย
ว่าแล้วก็มีข่าวหรืองานวิจัยเรื่องสุขภาพแว่วเข้าหู
ทำให้เราวิตกจริตว่าความเจ็บป่วยจะเล่นงานเราจนหมดตัวเข้าสักวันหนึ่ง
ก็เลยรี่ไปทำประกันชีวิต โดยที่เหตุแห่งทุกข์อันเดิมยังอยู่
คือทำประกันชีวิตให้เราได้กินตามใจปากต่อไป
แต่ทุกข์อันใหม่เอาเข้ามาสุมก็คือ เราต้องหาเงินมาจ่ายค่าประกันสุขภาพ ประกันชีวิต
สุดท้ายมันก็ไม่ได้แก้ปัญหาไง ถึงวันหนึ่ง
สุขภาพแย่ เจ็บป่วยจนต้องออกจากงาน
แถมใช้เงินรักษาเยอะเกินกว่าวงเงินประกัน คราวนี้ต้องใช้กรรมทบต้นทบดอก
หมดตูดกันตอนหมดสภาพ หาเงินก็ไม่ได้ ตามใจปากก็ไม่ได้ แถมเงินประกันก็ไม่พอจ่าย อย่างนี้เรียกแก้ปัญหาไหมครับ
เอาอีกตัวอย่างก็ได้
รับประกันความมัน...เรื่องรถ
ทุกวันนี้ใครๆก็อยากจะมีรถ เพราะรถติดเหลือเกิน รถเมล์ก็ห่วย แท็กซี่ก็แย่ บ้านก็ไกล
ถ้าจะต้องออกไปติดบนถนนก็ขอนั่งสบายๆในรถส่วนตัวหน่อยก็แล้วกัน ว่าแล้วก็ซื้อรถดีกว่า งานแสดงรถล่าสุด ยอดขายทุบสถิติไปเป็นแสนคัน
แต่ถนนเท่าเดิม แล้วจะวิ่งยังไง พอซื้อรถมาแล้วก็ต้องมานั่งผ่อนมัน แล้วขับออกไปติดเหมือนเดิมหรืออาจจะยิ่งกว่าเดิม ติดนานๆ จากความสบายที่เคยชินมากขึ้น ก็กลายเป็นทุกข์อีก เบื่ออีก
ก็ต้องเล่นมือถือแก้เบื่อ เสียค่าเน็ตอีก
ค่าน้ำมันอีกเท่าไหร่(ซึ่งมันก็ขึ้นราคาตามใจใครก็ไม่รู้)
แล้วก็ต้องจ่่่ายค่าประกันภัย ค่่าพรบ. ค่าซ่อมแซม ค่าแต่งรถ ค่าจอดรถ ค่่าล้างรถ เสร็จแล้วก็มองหาตุ๊กตาหน้ารถ เสร็จแล้วตุ๊กตาหน้ารถก็ไปมีกิ๊ก ฯลฯ
ไม่รู้จบสิ้น สรุปแล้วไม่ได้แก้ปัญหาอะไรเลย เห็นมีแต่ปัญหาใหม่ๆเต็มไปหมด
คนส่วนใหญ่แก้ปัญหากันอย่างนี้ิจริงๆครับ
พอสิ่งที่ตนคิดว่าดีเข้ามา แล้วอยู่กับมันนานหน่อยก็เริ่มชาชิน
เริ่มเห็นมันเป็นภาระ เริ่มเบื่อ
เริ่มหาเหตุผลที่จะแสวงหาสิ่งใหม่ๆที่คิดว่าดีกว่า ก็เลยมองหาภาระใหม่ขึ้นมา
อุปโลกน์ให้มันเป็นเป้าหมายเพื่อที่จะมาวิ่งไล่ พอวิ่งไล่ได้แล้วก็เบื่อ
ก็สร้างเงื่อนไขใหม่ให้ตัวเองวิ่งอีก เสร็จแล้วปัญหาทั้งหลายก็ไม่ถูกแก้
เพียงแต่ถูกเบี่ยงเบนความสนใจไปที่สิ่งใหม่แทน
ชีวิตคนในระบบทุนมันเลยเหมือนนั่งยางตัวเอง คือนั่งทับแต่ปัญหาเอาไว้
แล้วสร้างเหตุแห่งทุกข์ใหม่ๆเพิ่มเรื่อยๆ พอถึงจุดหนึ่งมันก็ติดไฟ
ไหม้คนที่นั่งทับอยู่นั่นแหละ ผมจึงไม่เห็นว่าใครมันจะหายจากทุกข์ได้เลย ยังตลกกันออกไหมเล่า
แล้วอาการแบบนี้เป็นกันทั่วโลก
แต่ที่ไม่เห็นเพราะถูกสื่อ โฆษณา ประชาสัมพันธ์มันหลอกเอา มอมเมาเอา
ปิดบังอำพรางเอา อย่าคิดว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วจะไม่โดนหลอกนะครับ
โดนกันทั้งนั้นแหละถึงได้ทุกข์กันอยู่นี่ไง
การแก้ปัญหาจริงๆนั้น
มันต้องลด ละ เลิก ไม่ใช่ไป เพิ่ม พอก พูน ไล่ตามตัณหาตัวเอง
เพราะสินค้าและบริการทั้งหลายล้วนมาพร้อมเงื่อนไขที่ซ่อนเอาไว้
หลังเครื่องหมายดอกจันบ้าง ปิดบังเอาดื้อๆบ้าง บิดเบือนด้วยเงื่อนไขต่างๆบ้าง
]ละลายใจเราด้วยราคาที่ถูกแสนถูกของมันบ้าง หลอกให้เราภูมิใจเมื่อได้เป็นเจ้าของบ้าง
ซื่งเงื่อนไขทั้งหลายนั่นก็คือปัญหาไง
แล้วเราก็คิดว่าจะหาซื้อสิ่งต่างๆทั้งหลายมาเพื่อแก้ปัญหา แต่ไม่เคยเข้าใจเลยว่า
ยิ่งแก้ก็ยิ่งไม่จบ เพราะมันก็เป็นเพียงการต่อปัญหาออกไปเรื่อยๆนั่นแหละ
อีกปัญหาของคนทุกยุคทุกสมัยก็เหมือนๆกัน
หยุดไม่เป็น ลงจากหิ้งไม่เป็น ได้แต่ดันไปข้างหน้าเรื่อยๆ ปีนขึ้นที่สูงเรื่อยๆ
ยิ่งสมัยนี้เป็นยุคที่กระตุ้นตัณหาได้ง่ายๆผ่านหน้าจอ
มันก็กระตุ้นกันจนแทบจะสำเร็จความใคร่ได้ทุกสองวินาทีแล้ว บ้าไหมครับ
ผมสรุปได้เลยว่า วิถีทุนนิยมและบริโภคนิยมนี่แหละคือเหตุแห่งทุกข์ตัวจริง
โครงสร้างของระบบทุนนั้นไม่ได้มีไว้เพื่อมนุษย์
แต่มันเป็นเพียงระบบทาสแปรรูปเท่านั้น
คือมันทำให้การเป็นทาสและการกดขี่เป็นเรื่องถูกกฏหมายได้อย่างน่าอัศจรรย์
ก็จะไม่ใช่เหตุแห่งทุกข์ได้ยังไง
เพราะทุกคนแสวงหาความมั่งคั่งจากต้นทุนที่น้อยที่สุด รับผิดชอบให้น้อยที่สุด
ให้ได้กำไรมากที่สุด ทุกคนก็เลยผลิตสินค้าและบริการเพื่อออกมาดูดเงิน
สร้างความมั่งคั้งให้ตน แต่ไม่ได้สนใจว่าผลกระทบต่อผู้บริโภคนั้นจะดีจะร้ายยังไง
แถมเรายังถูกกระตุ้นให้ต้องออกแสวงหาสิ่งที่ดีกว่าให้ชีวิตทุกวัน
ตามภาพฝันที่นักโฆษณาป้อนข้อมูลให้เราตลอดเวลา
วิถีของบริโภคนิยมจึงเป็นวิถีที่ทำลายตัวเอง และทำลายโลกอย่างสิ้นเชิง
แถมทำลายในอัตราเร่งที่น่ากลัวว่าทรัพยากรของโลกอาจจะไม่เหลือให้ถึงรุ่นลูกรุ่นหลานด้วยซ้ำ
ศีลธรรม
จริยธรรม จรรยาบรรณในระบบทุนนั้นไม่ต้องไปถามถึงครับ
นายทุนทั้งหลายเขาลบเส้นแบ่งตรงนั้นทิ้งไปนานแล้ว
แถมล่อหลอกเราด้วยกลยุทธ์การประชาสัมพันธ์ตัวเองอย่างแนบเนียนทำให้เราคิดว่าเขาเป็นนักบุญด้วยซ้ำ
ไม่เชื่อไปถามประเทศกลุ่ม G8 ดูสิ(ฮา)
การแก้ปัญหาความทุกข์ที่มากับวิถีบริโภคนิยมที่แท้จริงจึงไม่ใช่การไปฟังนายทุนพูดวิธีการแก้ปัญหา
เพราะนายทุนเขาต้องการขายของ ไม่ใช่แก้ปัญหาของเราจริงๆ
ถ้าเราจะแก้ให้ได้ตรงจุดก็ต้องล้างอิทธิพลต่อสื่อและโฆษณาที่มีต่อเราทิ้งให้หมด
สิ่งรบกวนเหล่านี้คือตัวหลอกล่อเบี่ยงเบนให้เราหมกปัญหาที่แท้จริง
แล้วไปสร้างปัญหาใหม่ที่ต้องพึ่งนายทุน
จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องได้รับรู้ไส้ในของกลไกเหล่านี้ ให้เห็นเหตุ
ให้เข้าใจ อย่างถ่องแท้ถึงกึ๋น
ซึ่งเมื่อไหร่ก็ตามที่เข้าใจกลไกและเล่ห์กลของมันทั้งหมด จนเห็นความอัปลักษณ์น่าเกลียดของมันที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากอันสวยงามน่าหลงใหล
แล้วมันก็จะลด ละ เลิกได้เอง
ถามจริงๆว่า
ถ้ารู้แล้วคุณทำใจได้เหรอที่จะยอมโง่ให้มันหลอกลวงต่อไปเรื่อยๆไม่จบสิ้น
ทางออกที่ไม่ต้องพึ่งระบบทุน(หรือพึ่งให้น้อยที่สุดจนไม่ใช่เรื่องสำคัญ)นั้นมีอยู่
ข่าวดีก็คือ เรามีองค์ความรู้และภูมิปัญญาในการพึ่งตัวเองมากพอที่จะปลดแอกแล้ว ณ
วันนี้ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเกษตรธรรมชาติที่ไม่ต้องพี่งสารเคมี การแพทย์ทางเลือก
การสร้างบ้านดินด้วยตนเองบนต้นทุนที่ต่ำแสนต่ำ พลังงานทางเลือกที่ถูกและสะอาด
สิ่งเหล่านี้มีคนพิสูจน์ให้เห็นจริงแล้วว่า
เราสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งระบบทุนจนกลายเป็นทาสอีกต่อไป
ขอให้ทุกท่านได้เปิดใจ
เรียนรู้วิถีการพึ่งตนเองเพื่อที่จะปลดแอกจากระบบทาสทุน เพราะถึงวันนี้
เราได้เห็นอนาคตลางๆแล้วว่า
ชีวิตของทาสในระบบทุนจะทุกข์หนักหนากว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอีกหลายเท่าครับ
No comments:
Post a Comment