Tuesday, February 5, 2013

มนุษย์ในฐานะทรัพย์สินของระบบทุน

ชนชั้นกลางที่คิดว่าตัวเองเจ๋ง มันก็แค่เจ๋งในกรอบนั่นแหละ
นับตั้งแต่เกิดมา เราจะถูกสอนว่าให้ขยัน ตั้งใจเรียน เรียนหนังสือให้เก่งๆ สอบให้ได้ที่ดีๆ เรียนให้สูงๆ หางานดีๆเงินดีๆทำจะได้ร่ำรวยมีเงินมีทอง มีบ้านอยู่ มีรถขับ เดี๋ยวเกียรติยศชื่อเสียงจะมาเอง

ทั้งหมดที่ว่ามานี้เราทุกคนหลงเข้าใจผิดคิดว่า เราถูกสอนให้สู้เพื่อตัวเอง เพื่อครอบครัว

แต่พอเติบโตขึ้นมาจริงๆ เรากลับต้องทำงานหนักถึงหนักมาก กินอาหารไม่มีประโยชน์และไม่เป็นเวลา เคร่งเครียดกับความบีบคั้นกดดัน นอนดึกตื่นเช้า ต้องกระเสือกกระสนฝ่ารถติดไปทำงาน เจ้านายก็เขี้ยว ลูกน้องก็ไม่เอาไหน มีลูกก็ต้องกระเสือกกระสนหาทางส่งมันเข้าไปเรียนโรงเรียนดีๆ เพื่ออนาคตที่ดี ดันไปเจอครูบาอาจารย์วิญญาณเปรต เรียกเงินแป๊ะเจี๊ยะแพงๆ จนไม่มั่นใจว่าลูกเราจบมาจะเป็นคนดีหรือคนโกง มีบ้านหลังใหญ่ๆก็ไม่ได้อยู่ อาศัยเอาแค่ซุกหัวนอน แถมต้องผ่อนกันหัวโต สุดสัปดาห์ก็หมดแรงชื่นชมบ้านตัวเอง แร่ดๆออกไปหาสิ่งบันเทิงเริงใจข้างนอกจนหมดแรงกลับบ้านอีก มีพ่อแม่ก็ทำได้แค่ส่งเงินให้ท่านแต่ไม่มีเวลาไปดูแลด้วยตัวเอง ชีวิตบัดซบขำขื่นแบบนี้คงมีแต่ในระบบทุนนิยมแน่ๆ

หากแหวกม่านมายาเปิดออกดู เราก็จะพบว่า ระบบทุนนั้นมองมนุษย์เป็นเพียงทรัพย์สินหรือทรัพยากรชนิดหนึ่งซี่งมีต้นทุน ไม่ต่างจากถ่านหิน ปิโตรเลียม ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจที่เราจะเห็นหลายครอบครัวที่ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากเมื่อมีคนหนึ่งคนใดในครอบครัวที่เป็นกำลังหลักในการหาเงินต้องเจ็บป่วยจนทำงานไม่ได้ พิการ วิกลจริต เสียเครดิต หรือเสียชีวิต ซึ่งสิ่งนี้ก็ไม่ต่างจากการเสียทรัพย์สินไป

มนุษย์ที่อยู่ในระบบทุนจึงห้ามป่วย ห้ามพิการ ห้ามวิกลจริต ห้ามล้มละลาย ห้ามเสียเครดิต ทั้งๆที่สภาพแวดล้อมของเมืองทุกวันนี้มันช่างชวนให้วิกลจริตจริงๆ(ฮา)

คนๆหนึ่งนั้นพอเริ่มทำงานก็จะเริ่มแบกต้นทุนคือตัวเอง ตัวเองคือทรัพย์สินอย่างหนึ่งที่ต้องออกไปเร่ขาย(นำเสนอกับนายจ้าง) เพื่อที่จะหางานหาเงินมาเลี้ยงต้นทุน ส่วนเงินที่เหลือคือกำไรหรือต้องเอาไปเลี้ยงต้นทุนอื่นๆเช่นลูก พ่อแม่ ภรรยา หรือสามี จึงไม่แปลกใจหรอกครับถ้าทำไมผู้คนในระบบทุนจึงมีแต่ความตึงเครียด กดดัน บีบคั้น ก็เพราะมัวแต่แบกตัวเองและครอบครัวอยู่ตลอดเวลา เพราะทุกอย่างต้องใช้เงินในการให้ได้มาทั้งนั้น ซึ่งเรื่องราวแตกแยกทะเลาะเบาะแว้งจนบ้านแตกเกือบทั้งหมดมาจากเรื่องเงินและผลประโยชน์ทั้งนั้น(จะเรียกว่าความรักกันดีไหมเนี่ย)

นับตั้งแต่มีมนุษย์ถือกำเนิดขึ้นบนโลก ผมว่ายุคสมัยนี้เป็นยุคสมัยที่ทุกข์ทรมาน หดหู่และสิ้นหวังที่สุดเลยก็ว่าได้

ทำไมน่ะเหรอครับ

ก็เพราะมนุษย์เราแทบไม่มีทางเลือกในการใช้ชีวิตที่มีความสุขหลงเหลืออีกแล้ว เราถูกจำกัดพื้นที่โดยระบบทุน ระบบเศรษฐกิจแบบปลาใหญ่กินปลาเล็ก ที่ยึดถืออำนาจเหนือทุนเป็นใหญ่ คนตัวเล็กๆที่ไม่รู้เท่าทันระบบทุนจึงต้องตกเป็นเหยื่อในเกมการแย่งชิงทรัพยากร เกมการเงินที่นับวันก็ยิ่งหนักข้อขึ้นทุกที พอเรียนจบเข้าระบบได้ ก็ถูกต้อนไปตรงนั้นที ตรงนี้ที ถูกหลอกให้ซื้อของหรือบริการที่ไม่จำเป็นบ้าง ถูกหลอกให้ตะเกียกตะกายไปข้างหน้าบ้างด้วยความหวังลมๆแล้งๆบ้าง ด้วยคำหวานว่าความสุขอยู่เบื้องหน้า แต่พอไปถึงจริงๆแล้วก็กลับไม่สุขอย่างที่มีคนเคยสัญญาเอาไว้ ไม่รู้จะเคลมเอากับใคร

ทุกวันนี้คนในระบบทุนนิยมใช้ชีวิตอย่างไม่รู้จักพอ เหมือนเปรต เอาได้เอา เบียดเบียนได้เบียดเบียน นัยว่าคนแข็งแกร่งย่อมเป็นผู้ชนะ คิดอย่างนี้น่าจะแข่งกันกับพวกสัตว์เดรัจฉานได้แบบเท่าเทียม ชีวิตในระบบทุนจึงมีแค่ดูดีตามสภาพภายนอก แต่ในใจก็มัวแต่คิดขาดทุนกำไรอยู่ตลอดเวลา รู้สึกไม่พออยู่ตลอดเวลา อยากจะกอบโกยตลอดเวลาจนไม่มีใครเงยหน้าขึ้นมาพิจารณากันแล้วว่าเราอยู่ในสังคมแบบไหนกัน

ต่อให้คุณเกษียณแบบมีเงินเก็บพอที่จะใช้ชีวิตบั้นปลายได้อย่างไม่ขัดสน แต่คุณแน่ใจเหรอว่าจะไม่เกิดปัญหาขึ้นกับค่าเงินและมูลค่าในหลักทรัพย์ที่คุณถือ เพราะค่าเงินทุกวันนี้ตกอยู่ในการตัดสินใจของคนไม่กี่คน มูลค่าของหลักทรัพย์ที่คุณถือก็อยุ่ภายใต้อำนาจเหนือตลาดของนายทุนไม่กี่กลุ่ม นี่ยังไม่รวมถึงปัจจัยฉุกเฉินที่ไม่อาจคาดเดาได้อีกมากมายที่จะทำให้คุณใช้ชีวิตในวัยเกษียณด้วยความหวั่นไหวและไม่มีความสุขอย่างแท้จริง

ถามว่ามีทางเลือกอื่นอีกไหมที่จะแก้ปัญหาต่างๆเหล่านี้

คำตอบนั้นก็คือเกษตรธรรมชาตินั่นเอง ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว

เพราะอะไรครับ

ถ้าเราย้อนกลับไปพิจารณาวิถีชีวิตของบรรพบุรุษไทยที่อยู่กันแบบพึ่งพิงธรรมชาตินั้น ต้นทุนชีวิตเราทั้งหมดนั้นฝากเอาไว้กับผืนดิน กับแม่โลก เราจึงไม่ต้องแบกต้นทุนตัวเองให้เหนื่อยยาก ไม่ต้องคิดกำไรขาดทุนให้เป็นภาระทุกข์ใจ ซึ่งโลกและผืนดินก็ไม่ได้เรียกร้องผลประโยชน์อะไรจากเรา ไม่มีข้อต่อรองอะไรนอกจากความเป็นไปตามธรรมชาติของมันเองที่ทำให้มนุษย์เสมอภาคกันหมด ขอเพียงแค่อย่าไปทำลายความอุดมสมบูรณ์ของดินเดิมที่มีอยู่ก็ใช้ได้แล้ว เมื่อธรรมชาติเป็นผู้แบกต้นทุนชีวิตเรา ถามว่าเราต้องทำงานเหนื่อยกันวันละเป็นสิบชั่วโมงเพื่อกินข้าวแค่ 3 มื้อเหรอ?

เพราะระบบเกษตรธรรมชาตินั้น หากไม่ได้ทำในรูปแบบธุรกิจที่ต้องกระเสือกกระสนหาเงินหรือมองแต่กำไรขาดทุน ชีวิตที่พึ่งพาระบบเกษตรธรรมชาติจะเป็นชีวิตที่สบายมาก ไม่มีเงื่อนไขผูกมันให้อึดอัดขัดเคือง ได้อยู่กับธรรมชาติตลอดเวลา ไม่ต้องดิ้นไปตามตัณหาที่ระบบอุปโลกน์ให้ กินอยู่กับธรรมชาติ ไม่มีสารพิษ ได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัว ได้มีโอกาสสอนลูกตัวเอง ไม่ต้องไปฝากลูกให้กับคนอื่นเลี้ยงแล้วก็ยัดเยียดอะไรก็ไม่รู้ให้ลูกหลานเราเรียน จนกลายเป็นมนุษย์ที่แปลกแยกจากธรรมชาติ แถมอ่อนแอจนต้องพึ่งพาระบบอย่างเดียว ไม่ต้องแยกกันไปดิ้นรนกระเสือกกระสนหากินแล้วกลับมาซุกหัวนอนที่เดียวกันเหมือนอย่างคนเมือง ไม่ต้องแบกต้นทุนตนเองและต้นทุนที่พ่อค้าคนกลางหรือผู้ผลิตสินค้ายัดเยียดให้ผ่านสินค้าและบริการในรูปแบบต่างๆ เพราะสิ่งต่างๆที่เรามี เทคโนโลยีทันสมัยทั้งหลายก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งเกินจำเป็นที่ทำให้เราฟุ้งไปในความฝันลมๆแล้งๆ หมกมุ่นกับภาพฝันหรือความคิดของตัวเอง และทำให้ศักยภาพในการพึ่งพาตนเองอ่อนแอลงทั้งนั้น

ไม่เชื่อลองจินตนาการดูนะครับ หากวันหนึ่งประเทศไทยเป็นเหมือนอาเจนตินาที่ลดค่าเงินจนเจ๊งกันทั้งประเทศ ถามว่าเงินกินได้ไหม โทรศัพท์มือถือกินได้ไหม แท็ปเล็ตกินได้ไหม พืชผักกินได้ไหม คำตอบนั้นง่ายมากครับ เพียงแต่เราไม่อยากจะยอมรับความเป็นจริงกันมากกว่าว่าเราเดินทางผิดมาไกลจนกู่ไม่กลับแล้ว คงต้องรอให้ล้มกันอย่างเดียวถึงจะรู้สึกและเริ่มที่จะเปลี่ยนแปลง ก็คงเป็นความเปลี่ยนแปลงบนความเจ็บปวดนั่นล่ะครับ

รู้หรือไม่ว่าตอนนี้พวกฝรั่งกำลังเดินหน้ารุกคืบอย่างเงียบๆ เพื่อที่จะยึดครองอุตสาหกรรมอาหารโลก เพราะทุกคนต้องกินอาหาร มันคือสิ่งที่ขาดไม่ได้ ในขณะที่คนไทยถูกหลอกให้หลงใหลฟุ้งเฟ้อกับสิ่งของฟุ่มเฟือย สุขสบายกันจนอ่อนแอพึ่งตนเองไม่ได้ ต้องพึ่งพาระบบอย่างเดียว เหล่านี้คือสิ่งที่ระบบทุนต้องการ นายทุนต้องการทาสเชื่องๆ ทาสที่สยบยอมต่อเงื่อนไขที่ระบบทุนอุปโลกน์ให้ต้องวิ่งเหมือนหนูถีบจักร ทำอะไรออกมาขาย มันก็ซื้อหมดทำไมจะไม่ชอบ จริงไหมครับ

ถึงจุดนี้ หลายคนที่ยังพอมีทางดิ้นรนไปได้ อาจจะบอกว่ามุมมองที่ผมเขียนมานี้คับแคบ แต่รอพิสูจน์ได้ครับ สิ่งใดที่ขึ้นสู่จุดสูงสุดย่อมมีเสื่อมไปเป็นธรรมดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบทุนแบบคนกินคนอย่างทุกวันนี้ ซึ่งสุดท้ายไปไหนไม่รอดหรอกครับ โลกมันก็ใบแค่นี้ จะคับแคบไปได้สักแค่ไหน จะแบกตัวเองไปได้ไกลเท่าไหร่ มันก็ไม่พ้นไปจากธรรมชาติเดิมๆอย่างแน่นอน และโดยธรรมชาติของระบบทุนที่มีตัณหาเป็นที่ตั้ง มันทำลายตัวเองอยู่แล้วตลอดเวลา รอแค่เมื่อไหร่ที่จะเริ่มกินเนื้อตัวเองจนล้มเท่านั้นเอง

No comments:

Post a Comment