จะใช่ก็ว่าใช่
เพราะทุกวันนี้สัญชาติญาณการพึ่งตนเองของเรามันง่อยเปลี้ยเสียขาจนแทบจะพึ่งตนเองกันไม่ได้อยู่แล้ว
เรียกว่าเป็นผู้พิการในการพึ่งตนเองก็คงจะได้
ไม่เชื่อดูช่วงน้ำท่วมใหญ่ที่ผ่านมาสิครับ
คนเมืองพึ่งตนเองได้ที่ไหน
แค่ของกินของใช้ในซุปเปอร์มาร์เก็ตหมดจากชั้นวางเท่านั้น
ก็ต้องตาลีตาเหลือกวิ่งไปซื้อไกลกันถึงหัวหิน
ถึงชลบุรี(ไปหาน้ำถึงระยองก็ได้ยินมาแล้วครับขอบอก)
แต่ผมเห็นชาวบ้านต่างจังหวัดออกเรือหาปลากินกันตายได้โดยไม่ต้องพึ่งร้านสะดวกซื้อ
เท่านี้ก็ทำให้ผมรู้แล้วว่าคนเมืองนั้นง่อยขนาดไหน
หากวันนั้นน้ำท่วมพื้นที่กทม.ทั้งหมด ก็คงจะถึงคราวฉิบหายจริงๆแล้ว
ก็ใครเล่าจะช่วยคนกทม.เมืองสวรรค์ที่พึ่งตัวเองไม่ค่อยได้ราว 10 ล้านคนได้หมด
หลังจากน้องน้ำไปแล้ว
ผมจึงได้มาสนใจหลักเศรษฐกิจพอเพียง พอปิ๊งกับเศรษฐกิจพอเพียงปั๊บ
มันก็เชื่อมโยงมาที่กสิกรรมธรรมชาติโดยอัตโนมัติ
นัยว่าต้องการเรียนรู้วิชาที่พึ่งตนเองจริงๆ
เพราะที่ผ่านมาจะกินอะไรเข้าไปก็มีคนทำให้เสร็จ สำเร็จรูปกันจนเป็นสันดาน
ผักแต่ละอย่างที่กินๆเข้าไป ผมเองก็ไม่ค่อยได้เห็นสัณฐานดั้งเดิมของมันมากนัก
(มีบ้างในช่วงที่ทำกับข้าวเอง...ก็ยังดีที่ทำกับข้าวเก่งพอตัว)
เรียกว่าถ้าไปเจอต้นผักเป็นๆคงไม่รู้ว่าเป็นผักกินได้ อดตายกันตรงนั้นให้ฮาเล่นเลย
เมื่อศึกษาหลักเศรษฐกิจพอเพียงจนเข้าใจแก่นแท้แล้ว
ก็พบว่า เฮ้ย!! นี่ในหลวงท่านทรงวางแผนปลดแอกพวกเราจากความเป็นทาสทางเศรษฐกิจนี่หว่า
ว่าแล้วผมก็ถลำเข้าไปในกลุ่มสองสลึง fan community ใน facebook แล้วก็ไถลไปเจอกลุ่มเกษตรกรแนวธรรมชาติอีกหลายคน
จนในที่สุดผมก็ตัดสินใจไปอบรมกสิกรรมธรรมชาติที่ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติสองสลึง
ของผู้ใหญ่สมศักดิ์ เครือวัลย์ ที่อ.สองสลึง จ.ระยอง หลักสูตรแรกของปี 2555
ที่เลือกที่นี่ก็เพราะผมเคยเจอลุงผู้ใหญ่ในงานของทีวีบูรพาหลายปีก่อน
ซึ่งจำได้ว่าแกพูดได้สะใจมาก
ผมออกเดินทางโดยขึ้นรถทัวร์จากเอกมัย
สายกรุงเทพฯ-แกลงรอบ 6 โมงเช้าที่กว่าจะลากไปถึงแกลงจริงๆก็ปาเข้าไป 9 โมงครึ่ง
จากนั้นก็ต่อรถสองแถวสีเหลืองจากแยกแกลงไปลงที่หน้าวัดสองสลึงอีกเกือบๆ 40 นาที
ขอบ่นหน่อยเหอะว่ามันขับช้ามาก ลากกันไม่รู้จะลากยังไง 555 จากนั้นผมก็โทรหาคุณปุ้ม
แล้วคุณปุ้มก็ส่งคนมารับผมเข้าไปที่ศูนย์ฯ
พื้นที่ด้านหน้าหอประชุมที่ใช้สำหรับจัดบรรยาย |
พอผมไปถึงก็สายแล้วครับ
10 โมงกว่าๆ เขาแบ่งกลุ่มกันไปหมดแล้ว พอไปถึงผมก็ไปกรอกใบสมัครก่อนเป็นอันดับแรก
เสร็จแล้วก็เข้ากลุ่ม ผมไปต่อแถวสีฟ้า มีสีม่วง สีแดง
และสีเหลืองตั้งแถวอยู่ไม่ไกลกันมาก หัวหน้ากลุ่มก็ได้แล้ว กำนันรุ่นก็ได้แล้ว
รอดตัวไป (แต่ต่อมาโดนทำโทษกันนิดหน่อยฐานมาสาย แต่ไม่บอกนะว่าโดนอะไร หุหุ)
วันแรกนั้นมีคนเข้าอบรมถึง
70 กว่าคนจากการนับคร่าวๆ (แต่พอวันถัดๆไปก็ทยอยกลับกันบ้างจนเหลือประมาณ 60 คน)
การอบรมที่นี่จะไม่สนใจเรื่องอายุนะครับ
ทุกคนต้องฝากอายุกับอาจารย์ไว้ก่อน จะได้เล่นเกมหรือทำโทษกันได้ถนัดๆ
ใครอายุเยอะแล้วก็คงได้รำลึกความหลังเมื่อครั้งเรียนมหาวิทยาลัยกันก็คราวนี้แหละ
รอบการอบรมนี้
เห็นลุงผู้ใหญ่สมศักดิ์
บอกว่าเป็นรุ่นที่แตกต่างจากรุ่นอื่นที่ส่วนใหญ่ถูกบังคับให้มา
ถือว่าเป็นการเข้าโปรแกรมฟื้นฟูหนี้สินกับธกส.(ก็ล้มเหลวจากเกษตรเชิงเดี่ยวตามที่ธกส.สนับสนุนไม่ใช่เหรอ...ฮา)
ซึ่งถ้ารุ่นไหนโดนบังคับมา มันก็จะเหมือนจับปูใส่กระด้งครับ คือวุ่นวายไปหมด
คนเข้าอบรมไม่สนใจ ไม่เข้าใจ บางคนมาเซ็นชื่อแล้วก็จะกลับ
ทำให้อาจารย์ต้องเหนื่อยไปตามๆกัน
ส่วนคนที่เข้ามาอบรมครั้งที่
1 ปี 2555 นั้นมีมาหลากหลายรูปแบบ
ผมเองไปอบรมเพราะต้องการเรียนรู้วิชาเอาไว้พึ่งตนเองและเริ่มมองหาที่ทางต่างจังหวัดเพื่อไปทำเกษตรธรรมชาติ
เพราะเบื่อสังคมอบายภูมิในเมืองเหลือเกิน ธาตุเรามันไม่เข้ากับเขาไง
บางคนมาเรียนเพราะซื้อที่เอาไว้แล้ว
ทำเกษตรแบบลองผิดลองถูกล้มลุกคลุกคลานจนทนไม่ไหวต้องมาเรียนเองกับตัว
หลายคนเริ่มเบื่อชีวิตเมืองเหมือนกันถึงขนาดลาออกมาจากงานแล้วก็มี
บางคนเรียนเพื่อที่จะกลับไปทำไร่ทำนาที่บ้าน บางคนมาเพื่อหาวิธีปลดหนี้ให้ตัวเอง
ฯลฯ ซึ่งโดยรวมแล้วทุกคนมาเพื่อที่จะเรียนรู้จริงๆ
มีความตั้งใจจริงในการเรียนและฝึกฝน รอบนี้เป็นบัณฑิตจบปริญญากันเยอะครับ
มีพี่คนหนึ่งมาเพราะติดในวงจรหนี้ของการเลี้ยงไก่แบบ
contract farming ซึ่งเป็นวงจรที่เหมือนในสารคดีเรื่อง
Food Inc. ไม่มีผิด
คือผมร่ายเป็นลำดับขั้นไป พี่แกก็พยักหน้ารับว่าใช่หมด
โอ้โห...มันมาถึงนี่แล้วเหรอไอ้ระบบอุบาทว์เนี่ย
เอาไว้ค่อยเขียนแฉเป็นกรณีพิเศษทีหลังก็แล้วกัน
หลังจากฟังลุงผู้ใหญ่บรรยายเสร็จ
ก็ได้เวลาอาหารมื้อแรก ซึ่งเป็นอาหารมื้อที่ทำให้ผมแปลกใจมาก อาหารก็พื้นๆล่ะครับ
ไม่ได้มีอะไรพิสดาร
แต่พอผมได้กินผักสดๆที่เก็บจากในพื้นที่ศูนย์กับน้ำพริกกะปิของโปรด
ผมก็ได้แต่อึ้งกับรสชาติของผักที่พูดได้คำเดียวว่าอร่อยโคตรๆ เพราะมันทั้งสด
ทั้งกรอบ(มากๆ) ทั้งหวาน จนผมต้องไปหยิบผักและตักน้ำพริกเพิ่ม งานนี้อ้วนแน่ๆครับ
555 ส่วนทำไมผักถึงอร่อย เดี๋ยวตามอ่านก็แล้วกัน
ช่วงบ่ายพวกเราเริ่มต้นฟังบรรยายจาก
อ.ยักษ์ วิวัฒน์ ศัลยกำธร แม่ทัพใหญ่ของเครือข่ายศูนย์กสิกรรมธรรมชาติ
และหัวหอกของแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
ซึ่งท่านก็บรรยายได้อย่างดุเดือดเลือดพล่านจนเลยเวลา(ฮา)
อีกทั้งยังรู้และเข้าใจเศรษฐกิจพอเพียงและสถานการณ์บ้านเมืองอย่างลึกซึ้งจริงๆ
ถึงขนาดที่ว่า ณ ตอนนี้
เครือข่ายกสิกรรมธรรมชาติทุกแห่งเตรียมรับผู้อพยพลี้ภัยกันในช่วงปลายเดือนเมษายน
55 แล้ว(เอาว่าจะเป็นอะไรเดี๋ยวก็ได้รู้กัน)
ไม่ใช่แค่ดีแต่หลักการนะครับ
ท่านยังรู้จริงเรื่องการปลูกข้าวโดยไม่ใช่เคมีด้วย ผมฟังแล้วก็ยังทึ่งเลยว่า
อ.ยักษ์ท่านบรรยายเรื่องการปลูกข้าวโดยไม่ต้องกำจัดวัชพืชได้ละเอียดมาก..จนแอบสัปงกไปนิดนึง(ฮา)
นอกจากนั้นท่านยังนำเสนอโมเดล
โคก หนอง นา เอาไว้รับมือภัยพิบัติน้ำท่วมที่จะเกิดขึ้นในปีนี้เอาไว้ด้วย
โดยมีแนวคิดว่า ให้ทุกครอบครัวที่มีที่นา ขุดบ่อน้ำเอาไว้ในพื้นที่ตนเอง
แล้วดินที่ขุดได้เอาไว้ทำโคกขนาดใหญ่เพื่อหนีน้ำไปอยู่บนโคก ในเวลาที่น้ำหลากมา
สระที่ขุดเอาไว้จะได้กักเก็บน้ำไปเต็มๆ ส่วนผืนนาก็จะกักน้ำเอาไว้ด้วย
ท่านบอกว่าถ้าเกษตรกรทุกบ้านทำแบบนี้
รับรองน้ำมามันก็ไม่ท่วมหรือท่วมก็น้อยกว่าที่ผ่านมา อันนี้ผมก็ว่าโอเคนะครับ
เป็นแนวคิดที่เข้าท่ามาก แต่ติดตรงที่ค่าจ้างขุดสระแต่ละสระนี่ไม่ใช่ถูกๆนะครับ
แล้วเกษตรกรจะมีเงินไปจ้างขุดเหรอ ซึ่งจริงๆถ้าพิจารณาเผินๆ มันก็ใช้เงินเยอะครับ
แต่อย่าลืมว่าที่สุดแล้ว คุณูปการในการมีสระน้ำบนที่ตนนั้น
จำเป็นแต่ระบบนิเวศน์ในที่ดินจริงๆ และมันจะเอื้อต่อความอุดมสมบูรณ์ในภายหน้าด้วย
ซึ่งอันนี้คงจะต้องหาแนวทางกันต่อไปว่าคนในชุมชนจะช่วยเหลือกันอย่างไรให้ค่าใช้จ่ายในการขุดสระน้ำถูกที่สุด
มีอีกอย่างหนึ่งที่ท่านพูดได้โดนใจผมมากๆคือ
ท่านด่าระบบการศึกษาสมัยนี้ที่เรียนสูงๆกันแต่ที่สุดก็พึ่งตนเองไม่ได้
ไม่รู้จะเรียนกันไปทำไม ผมเองก็รู้สึกอย่างนี้มานานแล้ว
พวกเราร่ำเรียนวิชาการทั้งหลายอย่างยากลำบากเป็นสิบกว่าปี ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา
สังคม เทอร์โมไดนามิก ดิจิตอล คอมพิวเตอร์ แต่สุดท้ายแล้วที่เหลือใช้จริงๆเนี่ย
แค่อ่านออกเขียนได้ คิดเป็น ทำเป็น คิดเลขพื้นฐานได้ ทำคอมพิวเตอร์แบบเบสิคเป็น จบ
หรือใครว่าไม่จริง?
จะว่าไปคอมพิวเตอร์นั้นผมก็มาเรียนรู้เองทั้งนั้น
เพราะเรียนในห้องเรียนไม่รู้เรื่อง ก็มันสอนแต่วิธีการไง ไม่ได้สอนแก่นแนวคิด
ใครจะไปจับหลักถูกล่ะวะ แต่พอเรียนเอง จับแก่นได้เอง ที่เหลือก็ง่ายแล้ว
ทำได้หมดทุกโปรแกรม
ส่วนวิธีคิดโรงเรียนก็ไม่สอน
มาเรียนกันเองกับประสบการณ์ทำงานทั้งนั้น
เรียกได้ว่าทำงานปีหนึ่งได้เรียนรู้มากกว่าที่เรียนในมหาวิทยาลัยด้วยมั๊ง
ไปดูได้เด็กสมัยนี้ที่มันเรียนสองภาษาสิ
ผมเองยังชอบแซวๆ(แต่เอาจริง)กับทุกคนเลยว่า ไอ้ที่เรียนสองภาษาน่ะ
มันไม่ได้สอนภาษาคนหรือไง มันถึงคุยกันไม่รู้เรื่อง(ฮา)
สรุปแล้วเราเรียนวิชาส่วนเกินทั้งหมดเพื่ออะไรวะเนี่ย
เสียเวลาชีวิตจริงๆ 555
(นี่เป็นเหตุที่ผมไม่เรียนปริญญาโทต่อเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว
เพราะเรียนไปก็อยู่แต่ในกรอบแค่นั้นแหละ)
ตัวอย่างสไลด์ของ อ.เจริญวิทย์ |
พอ อ.ยักษ์บรรยายจบ
ก็ต่อด้วยอ.เจริญวิทย์ สเน่ห์หา จากกระทรวงเกษตรฯ
ซึ่งท่านมาบรรยายเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงชนิดลงลึก
ท่านชี้ให้เห็นที่มาที่ไปและการตีความหลักเศรษฐกิจพอเพียงในแบบต่างๆอย่างละเอียด
คือสไลด์นี่ละเอียดมากจนจดไม่ทัน(ฮา) ต้องถ่ายเป็นรูปเอา นอกจากนั้นท่านยังเน้นให้เราเข้าใจถึงสถานการณ์บ้านเมืองปัจจุบันผ่านเรื่องราวของพระมหาชนก
ภาพประกอบที่แฝงคำทำนายเหตุบ้านการณ์เมืองที่เขียนเอาไว้ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์จริงเป็นเวลานานมาก
ผมฟังแล้วก็ได้แต่อึ้งๆว่า ภาพในมหาชนกนั้นซ่อนรายละเอียดและนัยยะที่สอดคล้องกับความเป็นจริงในปัจจุบันได้อย่างแนบเนียนมาก
ถือเป็นรหัสลับที่ในหลวงท่านทรงบอกกับประชาชนทุกคนว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับบ้านเมืองต่อไป
ซึ่งน่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้เรื่องที่พระองค์ทรงสื่อสารมา
กว่าอ.เจริญวิทย์จะบรรยายเสร็จก็เย็นแล้วครับ
จากนั้นเราก็เคารพธงชาติ และกินข้าวเย็น รอบนี้ผมหยิบผักเยอะกว่ามื้อที่แล้วอีก
แถมแอบจ้วงน้ำพริกกะปิเพิ่มอย่างเมามัน อร่อยจริงๆคุณป้าแม่ครัว ขอบอก 555
หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ
ผู้เข้าอบรมทั้งหมดทำกิจกรรมสนุกๆกันต่อจนสามทุ่มกว่าๆ
จึงแยกย้ายกันอาบน้ำและเข้านอน
มีสิ่งหนึ่งที่ผมแปลกใจมากคือ
ที่นี่แทบจะไม่มียุงหรือแมลงรำคาญเลยครับ
ทั้งๆที่พื้นที่ในศูนย์นั้นเกือบๆจะเรียกได้ว่าป่าล้อมรอบเลยก็ว่าได้
ลุงผู้ใหญ่ถึงเฉลยเอาว่าเพราะดินดี น้ำดี ยุงมันเลยไม่มี ซึ่งก็จริงครับ
น้ำในบ่อที่นี่ค่อนข้างใสสะอาดทีเดียวเมื่อเทียบกับบ่อดินทั่วๆไป
คืนนั้นผมนอนหลับไป(แบบหลับๆตื่นๆ)
พร้อมกับประตูมุ้งลวดที่ปิดไม่สนิทของเรือนพักชาย(โชคดีที่ไม่มียุง)
และเสียงไอหนักๆตลอดคืนของเพื่อนร่วมอบรม ก่อนที่จะเจอศึกหนักในวันที่สอง
จะไม่หนักได้ยังไงครับ
ก็ล่อเข้าไป 5 วิชา แต่จะเป็นยังไงต่อ เจอกันตอนต่อไปครับ
ปล.ที่ไม่ได้ถ่ายภาพอ.ยักษ์มาก็เพราะผมอยู่หลังสุด แถมแสงน้อย ได้แต่ถ่ายวิดีโอมาครับ เอาไว้จะลงให้ดูกันทีหลังครับ
No comments:
Post a Comment