บางคนก็บอกว่าดี
โอกาสทำเงินมากขึ้น บางคนก็ไม่เอา ไม่อยากได้
ถามกลับครับว่า
ทำไมโลกเราเปิดเสรีกว้างขวางกันถึงขนาดนี้แล้ว
แต่การดำรงชีวิตในยุคปัจจุบันยิ่งอึดอัดขัดเคือง คับแค้น ยากเข็ญมากขึ้นเรื่อยๆ
ทำไมสังคมเราเจริญมากขึ้นแล้ว แต่เรากลับมีความสุขน้อยลง?
จริงๆแล้วเสรีภาพที่ทำให้โลกมันกว้างขึ้นทุกวันนี้
มันช่วยให้ผู้คนมีเสรีภาพในการเบียดเบียนกันง่ายขึ้น เร็วขึ้น รุนแรงมากขึ้น
และถูกต้องมากขึ้นนั่นเอง
เสรีภาพบนระบบทุนนิยมนั้น
ไม่ได้ก่อให้เกิดความเท่าเทียมอย่างแท้จริง
เพราะใครที่ฉลาดและเข้าใจกลไกของทุนนิยมดีกว่าก็ได้เปรียบ
แล้วแสวงหาความได้เปรียบจากความรู้อันนั้น
คนกลุ่มนี้จึงกลายเป็นชนชั้นเศรษฐีหรือมหาเศรษฐี ส่วนผู้ที่ไม่เข้าใจระบบ
รู้ไม่ทันเกม ก็จะกลายเป็นเหยื่อในที่สุด
โลกนี้จึงกลายเป็นของคนกลุ่มเล็กๆที่รวยมากๆ
และคนที่เหลือจึงเป็นเพียงทาสแรงงานที่ได้แต่รอส่วนแบ่งอันน้อยนิด
ที่คนกกลุ่มนี้โยนมาให้เท่านั้น ซึ่งบอกได้เลยว่า
ไอ้ที่เขาวาดภาพฝันให้เราเคลิ้มถึงชีวิตสมบูรณ์แบบน่ะ มันไม่มีทางเป็นจริงได้หรอก
เพราะเบื้องหลังของมันคือวงจรอุบาทว์ทั้งนั้น
แล้วโลกเสรีใบนี้แคบลงได้อย่างไร?
ทางที่แคบลงนั้นเกิดมาจากเครื่องมือของระบบทุนนิยมหลายตัวครับ
เช่น
ระบบที่ซับซ้อน
ทุกอย่างในระบบทุนนิยมถูกทำให้เป็นระบบที่ซับซ้อน
ใช้ความเชี่ยวชาญระดับสูง แม้หลายองค์กรบอกว่าตัวเองเรียบง่าย
แต่มันก็ซับซ้อนอยู่ดี ซึ่งระบบที่ซับซ้อนนี่แหละ
ที่กันคนส่วนหนึ่งออกไปให้ห่างจากอำนาจทุน ทำให้คนสับสนไม่เข้าใจ
และที่สุดก็ไร้อำนาจในการต่อรองกับระบบ
ตัวอย่างเช่นกรณีของยายไฮที่ต่อสู้เพื่อที่ทำกินของตนมานานหลายสิบปี
กว่าจะชนะก็ทนทุกข์ไปหลายสิบปี
สิ่งนี้ทำให้เห็นว่าระบบต่างๆเช่นระบบกฏหมายนั้นเอื้อให้คนรวยหรือคนมีอำนาจมากกว่าคนทั่วไป
มาตรฐาน
ระบบทุนนิยมมักจะต้องมาตรฐานให้ทุกๆคนเดินตาม
ซึ่งการที่จะไปถึงมาตรฐานได้นั้น มันก็ต้องใช้เงิน ใช้ทุน ใช้ความพยายามดิ้นรน
ยิ่งมาตรฐานสูงก็ยิ่งมีต้นทุนสูง มาตรฐานในระดับชั้นต่างๆจะกีดกันคนส่วนหนึ่งออกไป
แบ่งคนออกเป็นก๊กเป็นเหล่า ทางมันก็เลยแคบลง ตัวอย่างเช่น
ใครอยากได้งานดีๆก็ต้องเรียนสูงๆ อยากได้รถหรูก็ต้องจ่ายแพง
หารู้ไม่ว่าสุดท้ายก็ตกเป็นทาสเขาทั้งนั้น กล่อมให้ซื้ออะไรก็ซื้อ
ขนาดปุ๋ยทีใช้ในการเกษตรมันยังต้องออกเป็นพ.ร.บ.ปุ๋ย
มากีดกันชาวบ้านที่เขาผลิดปุ๋ยใช้และขายกันเองเลย หาว่าไม่ระบุปริมาณสารอาหารก็ไม่ให้ขาย
ทั้งๆที่ชาวบ้านก็ใช้ปุ๋ยผลิตเอง ปลูกต้นไม้งอกงามได้ผลเป็นอย่างดีกันมานานแล้ว
จะให้บอกเปอร์เซ็นสารอาหารอย่าง N P K เหรอ ลองให้คนตั้งมาตรฐานมาวัดเองมันก็วัดไม่ได้ไง
เพราะมันเป็นสารอินทรีย์
ความกลัว
ไม่น่าเชื่อว่าคนทุกวันนี้อยู่ในโลกที่เจริญมากๆ
ระบบสาธารณสุขดีมากๆ แต่ดูเหมือนบ้านเมืองยิ่งเจริญก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้น
ความกลัวนี้ก็มาจากการตลาด การประชาสัมพันธ์ของสินค้าและบริการทั้งหลาย
ที่ทำให้เรากลัวทั้งโดยทางตรงและทางอ้อมนั่นแหละ
กลัวอะไรเล่า?
ตัวอย่างเช่น
กลัวจะไม่ใช่คนพิเศษ กลัวจะไม่มีระดับ
กลัวจะไม่ได้มาตรฐาน(สงสัยอีกหน่อยทำกับข้าวที่บ้านคงต้องขอ อย.ล่ะมั๊ง)
กลัวไม่มั่นคง กลัวไม่มีคุณภาพ กลัวไม่สะอาด
กลัวไม่มีความสุข(ก็ไอ้ที่กลัวไม่มีความสุขนี่มันก็ไม่มีความสุขอยู่เห็นๆไง...จะโง่ไปถึงไหน?)ฯลฯ ที่ผู้คนสรรหามากลัวได้ทุกวัน
เห็นนั่นก็กลัว เห็นนี่ก็กลัว อีกหน่อยเห็นเงาตัวเองในกระจกก็คงจะผวาล่ะวะ
ซึ่งความกลัวบ้าๆบอๆทั้งหลายที่นักโฆษณาประชาสัมพันธ์สร้างขึ้นนั้น
มันก็มีจุดประสงค์เดียวนั่นแหละครับ คือทำให้กลัว
คุณจะได้ควักกระเป๋าซื้อสินค้าหรือบริการจากเขา เพื่อให้หายกลัว
เรียกว่าเหมือนต้อนปลาเข้าไซยังไงยังงั้นเลย รู้แบบนี้แล้วยังจะเป็นปลาให้เขาต้อนอีกไหมเล่า
ระดับราคาสินค้าและบริการ
ระดับราคาสินค้าและบริการต่างๆในตลาดนั้นมีหลากหลายระดับ
ซึ่งตอบสนองตั้งแต่ไฮโซจนถึงคนจน ระดับราคาที่ตั้งขึ้นเพื่อแบ่งแยกตลาดนี้
ได้กลายเป็นกำแพงแบ่งแยกทำให้ทุกอย่างแคบลง สินค้าบางอย่าง คนจนได้แต่ฝัน
สินค้าที่มีภาพลักษณ์ถูกๆ ไฮโซก็ไม่กล้าใช้ ต้องจ่ายแพงตลอดเพื่อให้ตนดูดี
มีบางพื้นที่ในประเทศเรามันเอกสิทธิ์เหลือเกิน คนจนหมดสิทธิ์เดินเข้าไปนะครับ
ไม่งั้นโดนมองหัวจดเท้าแล้วไล่ออกมาเหมือนหมูเหมือนหมา
อันนี้เรื่องจริงๆที่เกิดขึ้นบนผืนแผ่นดินไทยแล้ว แบบนี้เรียกว่าแคบได้ไหมเล่า
ลิขสิทธิ์และสิทธิบัตร
ทั้งสองเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เรานึกกันว่าไม่น่าจะเป็นเครื่องมือในการกีดกันใคร
เพราะเราแข่งขันกันอย่างเสรี แต่ลองถามกลับครับว่า
ถ้าอยู่ๆมีคนเอาสมุนไพรไทยหรือผลไม้ไทยไปจดลิขสิทธิ์
ถึงวันนั้นคนไทยและคนทั่วโลกไม่สามารถที่จะปลูกสมุนไพรหรือพืชนั้นๆได้ ทั้งๆที่ปลูกกันมาแต่รุ่นปู่ย่าตายายแล้ว
คุณคิดว่ามันถูกต้องแล้วหรือ?
เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้นะครับ อย่าทำเป็นเล่นไป
ทุกวันนี้จึงมีคนกลุ่มหนึ่งกำหนดตั้งสิทธิ์แบบใหม่ขึ้นมาเพื่อให้งานบางชิ้น
สามารถที่จะทำประโยชน์ให้กับคนทั่วไปแบบส่วนตัวได้
แต่ไม่สามารถใช้เผยแพร่ในเชิงการค้าได้ เรียกว่า Creative
Commons ซึ่งสิทธิ์แบบนี้กำลังมีมากขึ้นเรื่อยๆ
เพื่อแก้ไขความคับแคบของระบบต่างๆ
อำนาจ
อำนาจเป็นปรากฏการณ์พื้นฐานที่มีมานานมาก
แต่ทุกวันนี้อำนาจทั้งหลายต่างก็ต้องสยบยอมให้กับอำนาจเงินลูกเดียว
พูดง่ายๆคือถ้าไม่มีเงินนี่เลิกคุยเลย
แต่ถ้ามีผลประโยชน์มาแลกเปลี่ยนก็สามารถเจรจากันได้แม้ว่าจะเกลียดกันแทบตายก็ตาม
ผู้ที่มีอำนาจเงินมากๆจึงมีชีวิตเหมือนราชาจะทำอะไรก็ดูดีไปหมด
ง่ายไปหมด ใครๆก็เคารพยำเกรง(แม้นิสัยตัวจริงจะน่าถีบก็ตาม) ได้อภิสิทธิ์ก่อนใคร
แม้เจ้าหน้าที่ทางราชการก็ยังไม่กล้าแหยม เพราะกลัวเจ็บตัว
เนื่องจากส่วนใหญ่อนุมานไปก่อนแล้วว่ารวยขนาดนี้ เส้นมันคงใหญ่ อย่าหาเรื่องดีกว่า
ส่วนคนจนหรือคนชั้นกลางก็มีทางเลือกน้อยลง สิทธิทั้งหลายก็คับแคบลง
แม้กระทั่งสิทธิขั้นพื้นฐานก็อาจจะโดนละเมิดได้ง่ายๆด้วยซ้ำไป
ประโยคที่สะท้อนปรากฏการณ์นี้ได้เป็นอย่างดีก็คือ
"คุกมีไว้ขังคนจนกับหมา" ซึ่งมีพูดกันทุกครั้งที่คนรวยมีคดีความแล้วลอยนวลทุกที
แต่ถ้าเป็นคนจนก็อาจจะโดนจับติดคุกได้ง่ายๆเช่นกัน
ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมาแล้วก่อให้เกิดการแยกชั้นของคนในสังคม
กลายเป็นสังคมชนชั้น ยิ่งชนชั้นนำมีอิทธิพลในการเอื้อประโยชน์ให้ตัวเองมากเท่าไหร่
ช่องว่างระหว่างชนชั้นยิ่งต่างกันมากขึ้นเท่านั้น สังคมทั่วโลกจึงฉีกออกจากกัน
ทุกวันนี้เราจึงได้เห็นปรากฏการณ์ รวยกระจุก จนกระจาย แล้วคิดดูก็แล้วกันว่า
คนชั้นกลางและล่างที่กำลังถูกบีบทางเดินให้แคบลง บีบคั้นมากขึ้น
ทางเลือกน้อยลงไปทุกทีๆ เดาสิครับว่าจะเกิดอะไรขึ้น?
เมื่อช่องว่างระหว่างชนชั้นแยกจากกันมากจนไม่สามารถเชื่อมโยงกันได้
เมื่อนั้นกลียุคจะเกิดขึ้นครับ
คนชั้นกลางและล่างที่ตึงเครียดจากการถูกบีบคั้นก็จะเริ่มก่อปรากฏการณ์การลุกฮือเพื่อเรียกร้องสิทธิ์ต่างๆ
สู้เพื่อให้ตนเองมีที่ทางมากขึ้น ดังที่เห็นในช่วงหลายปีหลังมานี้
โดยเฉพาะที่เห็นเด่นชัดก็คือกลุ่ม Occupied Wall Street ที่ลุกขึ้นมาตั้งข้อหาให้กับตลาดหุ้นวอลสตรีทที่กลายเป็นแหล่งสูบความมั่งคั่งจากทุกส่วนของโลกอย่างโลภโมโทสันไปกระจุกอยู่กับคนกลุ่มเล็กๆกลุ่มเดียว
ทำให้ระบบเศรษฐกิจต่างๆเสียสมดุล
และนับวันจากนี้ไปปรากฏการณ์แบบนี้จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ วิกฤตเศรษฐกิจก็จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่งปัจจัยความรุนแรงเหล่านี้ก็มีที่มาจากความบีบคั้น
ความคับแคบขององค์กรในภาคต่างๆที่มุ่งแต่จะแสวงหาผลประโยชน์ให้ตนเองเพียงอย่างเดียวทุกวิถีทางโดยไม่สนใจเพื่อนร่วมโลกเลย
ถึงที่สุดแล้ว ถ้าคนส่วนใหญ่ของโลกเกิดวิกฤตจนอยู่ไม่ได้จริงๆ
ชนชั้นนำก็อยู่ไม่ได้เหมือนกันครับ หากเอารัดเอาเปรียบกันมากๆ ถึงวันที่เกิดกลียุค
กฏหมายบ้านเมืองใช้ไม่ได้ ตอนนั้นคนชั้นนำก็หนาวล่ะครับ
ความเอารัดเอาเปรียบกันทุกระดับชั้นนี้
นับวันยิ่งรุนแรงมากขึ้น บีบคั้นมากขึ้น จนเรียกว่าสังคมนี้กลายเป็นสังคม
"คนกินคน" ไปแล้วก็ได้ ทุกวันนี้จึงมีแต่คนแล้งน้ำใจ ตัวใครตัวมัน
เบียดเบียนกันไม่เลือก จนโลกนี้มันอยู่ยากขึ้นทุกที
ยอมรับว่าทุกวันนี้ไม่เห็นทางออกจริงๆ
เพราะต่างคนต่างก็ยึดแต่ในมุมของตน พยายามทุกวิถีทางที่ทำให้ตนมั่งคั่งร่ำรวยก่อน
จะได้ต่อยอดโกยได้ถนัดๆ
ส่วนความมั่งคั่งของตนนั้นจะเบียดเบียนเอามาจากใครก็ไม่ได้สนใจ
กลียุคอยู่ไม่ไกลแล้วครับ
รอดูได้เลย
No comments:
Post a Comment