หัวข้อนี้ผมขอแสดงความแตกต่างระหว่างคำว่า
"พอ" และ "พอเพียง" สักนิดหนึ่ง
เพราะหลายคนรู้สึกสับสนกับความหมายของสองคำนี้เหลือเกิน
พอ นั้น
หมายความตรงๆก็คือ พอ ครับ พอแล้วมันก็หยุดอยาก ไม่อะไรต่อ ไม่ต่อตัณหา
ไม่งั้นก็จะกลายเป็นความไม่พอไปทันที แต่พอในที่นี้หากเอามาตีความว่า
"พอกับความอยากของตน" มันก็จะไม่เคยพอครับ
เพราะตัณหาความอยากมันไม่เคยพออยู่แล้ว ดังนั้น คำว่า "พอ"เนี่ย
มันมีนัยว่าหมดอยากไปด้วยทันที
แต่ คำว่า
"พอเพียง" นี้มันก็หมายความว่าให้มีพอเพียงแก่ตนเองในเบื้องต้น
ส่วนใจจะพอหรือยังอยากอยู่อันนี้ก็ไม่เกี่ยวกันครับ
พอเพียงกับตัวแต่ก็ยังอยากจะรวยก็ได้
ซึ่งตามหลักการของเศรษฐกิจพอเพียงแล้วเนี่ย
จะใช้ความหมายอย่างหลังเป็นบรรทัดฐานครับ เพราะทำเพื่ออยู่เพื่อกินก่อน
เมื่อพื้นฐานแข็งแกร่งแล้วพึ่งตนเองทางด้านปัจจัยสี่ได้แล้ว
ที่เหลือก็ค่อยๆเติบโตบนฐานที่แข็งแรงนั้นนั่นเอง
ส่วนผู้ที่มาสนใจหลักเศรษฐกิจพอเพียงมีสองแบบครับ
คือ อยากหรือโลภจนหัวทิ่ม ล้มละลาย หรือเจ๊งกะบ๊งมาแล้ว
สถานการณ์ก็เลยบังคับให้ต้องเริ่มพอเพียง
ซึ่งในกรณี้นี้ตัณหาความอยากมันสะดุดหัวทิ่ม แต่ก็ยังคุกรุ่นอยู่
รอเวลาของกรูมาถึง 555 แบบนี้มีเยอะครับ บางคนพอเจ๊งก็ได้แต่งงทำอะไรไม่ถูก
บางคนก็หาทางออกได้ด้วยเกษตรธรรมชาติ หรือ
กลับไปเริ่มทำให้พอเพียงกับตัวเองก่อนแล้วค่อยขยายตัวเติบโตอีกครั้งหนึ่ง
อีกแบบหนึ่งซึ่งหาได้น้อยครับคือ
เป็นพวกที่พอมาแล้ว หรือพออยู่แล้ว ไม่ต้องการอะไรมาก
จึงมองหารูปแบบแนวทางที่ตัดความยุ่งยากซับซ้อนในการเกี่ยวข้องกับระบบทุนนิยมออกไป
เพื่อสามารถยืนบนขาตนเองได้ ไม่ต้องพึ่งโลกภายนอกมากนัก
แบบนี้ก็จะมีกลุ่มศาสนาบางกลุ่มที่เน้นไปที่การพึ่งตัวเอง
ส่วนตัวผมเองนั้นออกจะมาทางอย่างหลัง
คือ พออยู่แล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในระบบทุนนิยมหรือไม่อยู่ในระบบก็ตาม
แต่การที่ผมสนใจไปทำการเกษตรแบบธรรมชาติก็เพราะมันเป็นรูปแบบของการพึ่งตนเองที่ค่อนข้างสมบูรณ์และนำความสมดุลของจิตใจและร่างกายมาให้เรามากกว่าระบบทุนนิยม
เหมาะสำหรับชีวิตมนุษย์มากกว่า ซึ่งต้องยอมรับครับว่าระบบทุนนิยมนั้น
ไม่เหมาะกับมนุษย์เลย เพราะทุกวันนี้คนในระบบทุนมันมีแต่เปรต อสุรกาย สัตว์นรก
สัตว์เดรัจฉาน หรือเรียกรวมๆว่าอบายภูมิก็คงจะได้ พูดกันง่ายๆคือ
ใครจะอยู่ในระบบทุนนิยมก็ต้อง อย่า-หยุด-อยาก
ใครอยากมากก็รวยมาก ใครอยากน้อยก็จน
หรือใครอยากมากๆแต่สู้เขาไม่ได้ก็ต้องจนแบบคับแค้น
หรือไม่ก็ต้องไปก่ออาชญกรรมเพื่อสนองอยากของตน
เป็นแนวเดรัจฉานที่มุ่งแต่เบียดเบียนกันไปอีก...ถึงตรงนี้ก็ถามครับว่า
แล้วมันน่าอยู่ไหมเล่า?
ผมไม่แน่ใจว่าลุงผู้ใหญ่สมศักดิ์
เครือวัลย์หรืออาจารย์ยักษ์ วิวัฒน์ ศัลยกำธร หรือใครก็ไม่รู้ล่ะ เคยพูดเอาไว้ว่า
ในหลวงท่านให้หลักเศรษฐกิจพอเพียงมานิดเดียว หรือพูดง่ายๆว่า
พระองค่ท่านเป็นคนเขียนหลักการหน้าแรก
ส่วนที่เหลือแล้วแต่ใครจะเข้าใจหรือตีความเอาเอง ทุกวันนี้เราจึงมีหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงหลายแนวทางที่ต่างก็ตีความกันไปคนละอย่าง
โดยทัศนะของผมเองนั้น
ก็มีแนวทางอยู่ที่ว่าให้คนที่ดำเนินหลักเศรษฐกิจพอเพียงนั้น รู้จักพอ
พอก็คือไม่ไหลตามตัณหาความอยากของตนเอง อันจะเป็นเหตุสร้างทุกข์ขึ้นมาอีก
ซึ่งข้อนี้เป็นธรรมที่สำคัญที่จะนำความสงบสุขมาให้อย่างแท้จริง
เพราะถ้าความอยากยังกำเริบอยู่เรื่อยๆ มันก็จะกลายเป็นจุดอ่อนในระยะยาว
มันจะขาดภูมิคุ้มกันที่แท้จริง คือถ้าเราทำตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงอยู่ดีๆ
วันหนึ่งร่ำรวยขึ้นมา จนหลงไปว่าตัวเองเจ๋ง แล้วไหลตามตัณหาเดิมๆ
สุดท้ายมันก็จะเข้าไปสู่วังวนเดิมๆอีก
แบบนี้สันติสุขในชีวิตก็เป็นพียงภาพฝันชั่วคราวไม่ต่างจากที่ระบบทุนนิยมเขาสร้างภาพมาหลอกเรา
ดังนั้นเราพอกันดีกว่าครับ เพราะยิ่งอยากก็ยิ่งทุกข์มากขึ้นเรื่อยๆ
สนองกันไปก็ไม่จบ
สังคมโดยรวมจะสงบสุขได้ไม่ใช่ที่มีคนดีเยอะนะครับ
เพราะคนดีที่มีตัณหามันจะพาลทำเรื่องยุ่งๆขึ้นมาอีก
แต่สังคมจะสงบสุขได้ก็ต่อเมื่อคนในสังคมรู้จักพอ ตัณหาก็ให้มันน้อยๆหน่อย
หรือเอาง่ายๆคือหมดตัณหานั่นแหละครับ
ความสงบสุขที่แท้จริงจะเกิดขึ้นเองโดยที่ไม่ต้องไปแสวงหาความสุขจากที่ไหนอีกเลย
No comments:
Post a Comment