Thursday, May 3, 2012

สันดานกึ่งสำเร็จรูป

ผมเชื่อว่าคนเมืองส่วนใหญ่เข้าใจว่าอาหารการกินหรือข้าวของเครื่องใช้สำเร็จรูปหรือกึ่งสำเร็จรูปทั้งหลายที่มีขายในท้องตลาดนั้นจะทำให้ชีวิตตนสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

วิถีชีวิตแบบด่วนๆเร็วๆเหล่านี้ล้วนมาจากความบีบคั้นทั้งนั้น ระบบทุนนิยมบีบให้เราต้องรีบ ต้องเสียเวลาให้น้อยที่สุด ทำงานให้ได้มากที่สุด ทำงานให้ได้ดีที่สุด และความรวดเร็วที่เราเสพจนเคยชินนี่เองทำให้อารมณ์ของผู้คนมันแกว่งง่ายและรุนแรง เอะอะอะไรนิด ก็ไม่พอใจแล้ว อะไรกระทบหน่อยก็ฆ่ากันแล้ว

นอกจากนี้สันดานที่ชอบของสำเร็จรูปนั้นก็ทำให้เราขาดการพึ่งตนเอง ทักษะในการพึ่งพาตนเองแย่มาก ไม่เชื่อไปถามคนเมืองดูสิครับ มีสักกี่คนที่หุงข้าวทำกับข้าวกินเองเป็น น้อยมากครับ

เราชอบที่จะออกไปซื้ออะไรอร่อยๆมากินกัน แสวงหาสุดยอดร้านอาหารแล้วไปกินกัน บางทีวิ่งข้ามจังหวัดไปกินข้าวมื้อเดียวก็มี เป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรเชื้อเพลิงโดยใช่เหตุ หรือไม่เชื่อลองไปดูช่วงสงกรานต์ในกทม.สิครับ ร้านอาหารแถวๆบ้านปิดกันเงียบกริบ พอไม่มีอะไรจะกินก็ต้องวิ่งแจ้นเข้าห้างสรรพสินค้า

ไม่ใช่แค่อาหารนะครับ สินค้าอุปโภคทั้งหลายก็ยังทำทุกอย่างให้มันสำเร็จรูปมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ นัยยะของเขาคือให้ลูกค้าสะดวกสบายที่สุด แต่นัยยะที่แฝงเร้นคือ ลูกค้าจะกลายเป็นคนอ่อนแอพึ่งตนเองไม่ได้ไปในที่สุด ทุกวันนี้เราจึงเห็นคนจำนวนมากมาย ทำสิ่งต่างๆไม่เป็น เก่งอย่างเดียวคืองานของตน นอกจากกงานก็ซื้ออย่างเดียว ใช้เงินทำงานให้อย่างเดียว จนทักษะการพึ่งพาตนเองหายไปในที่สุด ยอมรับครับว่าใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนพวกนี้แล้วเหนี่อย มีอะไรก็ใช้ให้เราทำตลอด

ไม่ใช่แค่ผู้ใหญ่นะครับ เด็กสมัยนี้ก็ถูกเลี้ยงแบบนี้เหมือนกัน ทำอะไรเองไม่เป็น ประมาณว่า เรามีเงินก็ใช้ให้คนอื่นทำลูก ไม่ต้องลำบาก เรียนหนังสือไปเถอะ เรียนให้เก่งๆจะได้ทำงานเงินเดือนดีๆ เราก็เลยได้เด็กกึ่งสำเร็จรูปพิการด้านพึ่งพาตนเองอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง

พอทักษะการพึ่งพาตนเองหายไปจนหมด ทีนี้ก็เสร็จพวกผู้ผลิตสินค้าสิครับ เพราะพอพึ่งตนเองไม่ได้ก็ต้องซื้อ ผู้ผลิตสินค้าก็หัวใส คิดสินค้าหลากหลายรูปแบบออกมายั่วกิเลสให้อยากได้ ไอ้พวกที่อยากได้อยากมีนี่ก็ไม่รู้ไปทำกรรมอะไรมา พอถูกกระตุ้นเข้าหน่อยเป็นต้องควักเงินซื้อมันทุกอย่าง ทั้งๆที่บางอย่างมันไม่จำเป็น(แต่ก็หาข้ออ้างบอกว่าจำเป็น ทั้งๆที่เห็นอยู่ตำตาว่ามันสนองกิเลสตัวเองทั้งนั้น) ด้วยหตุนี้ คนเมืองหรือคนรุ่นใหม่ๆจึไม่เพียงแต่ขาดทักษะการพึ่งตนเองเท่านั้น แต่ยังขาดภูมิคุ้มกันต่อตัณหาตัวเองด้วย ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้ถือเป็นเหตุใหญ่แห่งทุกข์เลยก็ว่าได้

ใครที่พอจะทราบเรื่องราวเกี่ยวกับระบบแรงงานในยุโรปก็คงจะเคยได้ยินข่าวกันบ่อยๆว่า ยุโรปได้ลดจำนวนชั่วโมงทำงานต่อสัปดาห์ลงอย่างต่อเนื่อง แต่งานนี้ดันไปสวนทางกันกระแสทุนนิยมที่เห็นมนุษย์เป็นเพียงทุนแรงงาน ซึ่งทำให้ต้นทุนธุรกิจเพิ่มขึ้น คนยุโรปเลยโดนข้อหาขี้เกียจไปด้วย ซึ่งไม่ใช่นะครับ จริงๆเขาเริ่มรู้สึกกันแล้วว่าไอ้ที่ทำงานหนักในระบบนี่มันไม่ใช่ชีวิต มันจึงกลายเป็นความขัดแย้งที่ไม่ลงตัว ยุโรปถึงได้มีหนี้สาธารณะท่วมประเทศอยู่นี่ไง คืออยากใช้ชีวิตบนมาตรฐานที่ดี แต่ดันไม่พึ่งตัวเอง กลับไปพึ่งระบบ รัฐก็อุ้มอานสิครับ แบบนี้ไปไม่รอดหรอก

ไอ้สันดานสำเร็จรูปนี่แก้ยากครับ พอติดสบายไปทีแล้วแงะออกยากมากๆ ผมเห็นมีกลุ่มคนที่คิดเรื่อง slow life จนกลายเป็น lifestyle แบบหนึ่งขึ้นมา จริงๆแล้วนั่นมันแก้ไขได้แค่รูปแบบครับ จิตใจข้างในอาจจะพลุ่งพล่านไม่ slow ก็ได้ แต่ทำไปเพราะเท่ห์ดี...ชีวิตช้าช้า ซึ่งไอ้สไตล์แบบนี้มันใช้ได้แค่วันหยุดพักผ่อนครับ แต่พอกลับมาในระบบทุนนิยมก็วิ่งจู๊ดหางจุกตูดกันอีกแล้ว เพราะถ้าไม่วิ่งเดี๋ยวเจ้านายเขม่นเอา(หรือว่าไม่จริง 555)

นี่เป็นเพียงอีกแง่มุมหนึ่งที่ระบบทุนนิยมทำลายสมดุลชีวิตของเราครับ ยังมีความดำมืดอีกมากมายที่เรามองไม่เห็น ก็ติดตามตอนต่อไปแล้วกัน

No comments:

Post a Comment