Wednesday, March 21, 2012

ชีวิตในตู้ปลาที่เรียกว่าระบบทุนนิยม

ภาพสวยงามของตู้ปลาล้วนแต่มีต้นทุนที่คาดไม่ถึงทั้งนั้น
ผมคิดว่าคนในยุคสมัยนี้คงจะนึกภาพการใช้ชีวิตที่ขาดระบบทุนนิยมไม่ได้แล้ว เพราะขนาดพ่อกับแม่ของเราก็ยังเกิดขึ้นมาในยุคของทุนนิยมเหมือนกัน ขนาดประเทศคอมมิวนิสต์ก็ยังต้องพ่ายแก่ทุนนิยมในที่สุด ไม่เชื่อไปถามจีนได้เลย

เมื่อปลาทุกตัวในตู้โดนครอบงำกันถึงขนาดนี้ แล้วมันจะนึกถึงอย่างอื่นที่อยู่นอกตู้ออกได้ยังไง จริงไหม?

ทีแรกผมเองก็นึกไม่ออกเหมือนกันครับ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมก็คือ ผมรู้สึกอึดอัดขัดเคืองกับระบบทุนนิยมมานานแล้ว นับตั้งแต่เด็กจนโต พูดตรงๆว่าไม่ชอบเลยดีกว่า เพราะมันเป็นระบบที่เต็มไปด้วยการเอารัดเอาเปรียบ ระบบแบบปลาเล็กกินปลาใหญ่ เป็นสังคมของการไล่ล่าแบบสัตว์มากกว่าจะเป็นสังคมมนุษย์

ถึงวันหนึ่งผมจึงปะติดปะต่อภาพของทุนนิยมขึ้นมาจนเห็นภาพรวมความเป็นมาและเป็นไป ซึ่งหากรู้ความจริงนี้แล้วบอกได้เลยว่าน่าขนลุกครับ เนื้อหาเหล่านี้ผมเขียนไม่อ้างอิงประวัติศาสตร์เล่มไหน เอาแบบที่พอเห็นภาพเลาๆแล้วเข้าสู่ประเด็นก็แล้วกัน

ทุนนิยมนั้นเริ่มต้นจาก การที่มนุษย์เริ่มต้นใช้เงิน อันเป็นตัวกลางในการซื้อขายแลกเปลี่ยน แทนการแลกเปลี่ยนของแบบในยุคโบราณ พอเริ่มมีการใช้เงิน มนุษย์ก็เริ่มหัวใสแปลงทุกอย่างให้เป็นทุน แม้กระทั่งร่างกายของตน ทุนนิยมเปลี่ยนทุกอย่างให้เป็นทุนจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นไอเดีย หน้าตา ความรู้ความสามารถ ที่ดิน ป่าไม้ น้ำมัน อวัยวะสำคัญ วัฒนธรรม ไปจนถึงเมล็ดพืชที่ควรจะเป็นสมบัติของมนุษย์ชาติ

พอทุนนิยมเปลี่ยนให้ทุกอย่างเป็นทุนแล้ว คนกลุ่มหนึ่งที่ฉลาดแต่ไร้คุณธรรม แถมมีอำนาจเงินสูงกว่าคนทั่วไปก็เริ่มสะสม กอบโกย กว้านซื้อ ตัดแบ่ง รวบรวม สร้าง ทำลาย พูดง่ายๆคือทำทุกอย่างเพื่อเงินโดยไม่สนใจอย่างอื่น จนคนกลุ่มนี้กลายเป็นมหาเศรษฐี อัครมหาเศรษฐี และแนวทางที่ระบบทุนนิยมก็ได้เปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถมีทรัพย์สมบัติได้มากกว่ากษัตริย์ในอดีตพึ่งมีได้ ภาพฝันอันยั่วยวนนี้เองที่ทำให้คนส่วนใหญ่กระโจนเข้าร่วมระบบทุนนิยม แปลงตัวเองให้เป็นทุนมนุษย์ ตะเกียกตะกายไขว่คว้าความมั่งคั่งชนิดที่ลืมไปสนิทใจเลยว่า ตัวเองกินข้าว 3 มื้อต่อวัน ตายแล้วเอาอะไรไปไม่ได้แม้แต่ร่างกายตนเอง

ระบบทุนนิยมจึงผูกมัดรวมทุนนานาประเภทเข้าด้วยกัน ช่วยกันต่อฐานเพื่อที่จะดันนายทุนให้ขึ้นสู่ที่สูง กิจการยิ่งใหญ่ฐานที่รองรับที่เป็นคนระดับล่างซึ่งทำหน้าที่รองรับกลไกอันพิสดารก็ต้องมากมายเป็นธรรมดา

กิจการขนาดใหญ่ทั้งหลายก็ดิ้นรนที่จะหาแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ จึงเกิดเป็นตลาดหุ้นขึ้น ทำให้ทุนเปลี่ยนมือได้ง่ายเพียงคลิกเดียว เคลื่อยย้ายทุนไปได้ทุกมุมโลกชั่วเสี้ยววินาที ทรัพยากรทุกอย่างในโลกนี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นเพียงตัวเลขไม่กี่ตัว แล้วซื้อขายทำกำไรกันบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ในเสี้ยววินาที

และเมื่อระบบสื่อสารสามารถเชื่อมโยงโลกเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างที่เห็นในปัจจุบัน กลุ่มทุนทั้งหลายจึงออกล่าอาณานิคมทางเศรษฐกิจ ราวกับตั๊กแตนลงไร่ข้าวโพด

เพราะด้วยทุกอย่างถูกผันให้กลายเป็นทุนไปเสียหมด มนุษย์ก็เลยต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนทำให้ตน "มีค่า" ตามมาตรฐานทุนนิยม ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นเพียงเศษขยะที่ทุนนิยมไม่ต้องการ ทุกคนในระบบทุนนิยมจึงต้องรวมตัวกันเป็นแพเข้าไว้ เกาะกันเข้าไว้ให้มั่นคง

แต่มันมั่นคงจริงหรือ?

เพราะหลังจากวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 เป็นต้นมา ระบบทุนนิยมก็เจอวิกฤตอีกหลายครั้ง และถี่ขึ้น รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดก็วิกฤตหนี้สาธารณะที่ยุโรปที่ดูจะหนักหนาสาหัสทีเดียว

และเริ่มมีคนรู้ทันอย่างกลุ่ม occupied Wall Street ที่ออกมายึดตลาดหุ้นวอลสตรีทจนเป็นข่าวใหญ่มาแล้ว แต่เขาเหล่านั้นก็ยังไม่เข้าใจปัญหาถึงรากจริงๆ คือยังสู้เพื่อให้ตนเองมีที่ยืนอยู่ในระบบทุนนิยมต่อไป

ทุกครั้งที่เกิดวิกฤต ผู้ที่ได้รับผลกระทบหนักๆก็หนีไม่พ้นคนตัวเล็กๆ เพราะแรงกระทบคืออันเดียวกัน ผู้ที่มั่งคั่งกว่าย่อมสะเทือนน้อยกว่าเป็นธรรมดา ถ้าสะเทือนมากๆก็ลดขนาดองค์กร เอาคนออก คนตัวเล็กๆก็เคว้งครับ ไม่เชื่อดูทุกครั้งที่เกิดวิกฤตได้เลย อย่างล่าสุดก็วิกฤตน้ำท่วมใหญ่ปลายปี 2554 นั่นไง

ระบบทุนนิยมไม่เหมาะกับคนตัวเล็กๆอย่างเราหรอกครับ เพราะคนที่จะได้เปรียบคือคนที่มี "ทุน" ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง ยิ่งหลายอย่างยิ่งได้เปรียบ ที่ต้องใช้คำว่าได้เปรียบนี้ก็แปลว่า ในโลกของทุนนิยม ถ้าคนหนึ่งได้เปรียบ คนหนึ่งจะเสียเปรียบ ส่วนไอ้ที่บอกว่า win-win ไม่มีหรอกครับ มันเป็นเรื่องของการรวมหัวไปเอาเปรียบคนอื่นอีกที ธุรกิจทุกวันนี้จึงมีแต่คำว่า "ล่า" มีแต่คำว่า "เงิน" เรื่องอื่นไม่สน อะไรก็ได้ที่ทำเงินได้เป็นโอเคหมด ไม่สนใจว่ามันจะมีผลกระทบกับสังคมโดยรวมอย่างไร

โลกที่มีแต่การเบียดเบียนแบบนี้เราคงจะเรียกว่าโลกของมนุษย์ได้ไม่เต็มปากแล้วครับ แต่มันเป็นโลกของสัตว์เดรัจฉานดีๆนี่เอง

ในหลวงท่านจึงทรงดำริเรื่องหลักเศรษฐกิจพอเพียงขึ้นมานานเกือบๆ 40 ปีแล้ว เพื่อรองรับความล่มสลายของทุนนิยมที่จะมาถึงในวันหนึ่งข้างหน้า พระองค์ท่านไม่ได้ต่อต้านทุนนิยม เพราะมันไม่มีประโยชน์ที่จะเอาเรือไปขวางกระแสน้ำเชี่ยว หากแต่คนไทยคนแล้วคนเล่าที่ได้มาสัมผัสและเข้าใจหลักเศรษฐกิจพอเพียงอย่างแท้จริงก็จะเข้าใจเนื้อหาที่ในหลวงท่านต้องการจะบอกไปเอง ส่วนจะเข้าใจลึกซึ่งขนาดไหนก็คงจะขึ้นอยู่กับปัญญาของแต่ละคนแล้วครับ

แต่ไม่เป็นไร ใครที่จินตนาการถึงความร้ายกาจของระบบทุนนิยมไม่ออก ก็ขอให้ตามอ่านไปเรื่อยๆครับ จะได้ตื่นจากความฝันอันหลอกลวงเสียที

No comments:

Post a Comment