Thursday, June 20, 2013

การศึกษาในกะลาของทุนนิยม

ระบบการศึกษาคือระบบเพาะพันธุ์ปศุสัตว์มนุษย์ดีๆนี่เอง
เคยสงสัยไหมครับว่า ทำไมเราถึงไม่ได้ใช้วิชาส่วนใหญ่ที่เราเคยเรียนกันแทบเป็นแทบตายทั้งในโรงเรียนกับในมหาวิทยาลัย สงสัยไหมครับว่าทำไมมันถึงต้องแข่งกันตลอดชีวิตนับตั้งแต่อนุบาลจนกระทั่งตายลงหลุม ยิ่งอายุเยอะขึ้นการแข่งขันก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆอย่างไร้เหตุผล

ที่ตลกคือเนื้อหาวิชาที่เราใช้งานอยู่ในชีวิตประจำวันจริงๆทุกวันนี้มันก็แค่อ่านออกเขียนได้ บวกลบคูณหารเป็น พูดจารู้เรื่องเท่านั้น แม้กระทั่งอาชีพวิศวกรที่ผมเคยทำมาสิบปีก็แทบจะไม่ได้ใช้วิชาการที่เรียนมาเท่าไหร่เลย ใบปริญญาพอสมัครงานได้ก็แทบไม่ต้องใช้แล้ว ส่วนไอ้ที่แข่งขันกันเอาเป็นเอาตายตั้งแต่ระดับลูกจ้างกระจ๊อกไปจนถึงเจ้าของกิจการใหญ่น่ะ เคยตั้งคำถามกันบ้างไหมว่าแจะแข่งกันไปทำไม ในเมื่อเราก็กินข้าวแค่ 3 มื้อต่อวันเท่านั้นเอง แข่งกันเพื่อความมั่งคั่งส่วนที่เกินจำเป็นงั้นเหรอ?

ที่ว่ามาทั้งหมดนี้ยังไม่ได้ครึ่งของปัญหาที่ผู้คนในระบบทุนนิยมส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรกันแน่ เพราะที่สุดแล้วความต้องการของทุกคนก็ถูกโปรแกรมมาเรียบร้อยแล้วจากระบบการศึกษา สื่อและโฆษณาต่างๆนั่นเอง

ใครคิดว่าตนเองมีสมองก็คิดได้ คิดนอกกล่อง นอกกรอบ ไม่จริงหรอกครับ ระบบทุนมีกล่องตั้งหลายแบบให้คุณได้คิดอยู่ในนั้นเสมอ แม้กระทั่งให้คุณรู้สึกว่าได้คิดนอกกรอบแล้วก็ตาม

ไม่เชื่อก็ลองไปดูแต่ละสาขาวิชาที่เปิดสอนกันในมหาวิทยาลัยสิครับ มีแต่วิชาที่สอนให้จบออกไปหาเงิน ทำเพื่อเงินทั้งนั้น แม้กระทั่งสาขาเกษตรกรรมเองก็สอนให้จบไปหาเงินเหมือนกัน ทั้งๆที่การทำเกษตรพอเพียงก็แทบจะไม่ต้องพึ่งเงินเลยด้วยซ้ำ หรือกระทั่งการจัดอันดับสาขาวิขายอดนิยมก็ล้วนแล้วแต่เอารายได้ของวิชาชีพนั้น ความต้องการของสาขาวิชานั้นๆเป็นเกณฑ์วัดทั้งสิ้น กรอบที่ว่าเรามีอยู่แค่นี้จริงๆ ก็คือเรื่องเงิน

ระบบการศึกษาในระบบปัจจุบันจึงเป็นเหมือนโรงเพาะเลี้ยงอนุบาลสัตว์เพื่อป้อนให้กับทุนนิยมเท่านั้น ถ้าจะให้เห็นภาพก็ลองนึกถึงการเพาะลูกไก่ พอได้ลูกไก่แล้วก็เอาไปขังไว้ในกรงแคบๆ(สำนักงาน) เปิดไฟสว่างๆให้นั่งทำงานกันวันละ 8-10 ชั่วโมง เหมือนการเปิดไฟตลอดเวลาบังคับให้ไก่กินอาหารไม่หยุดเพื่อที่จะได้โตเร็วๆ พอถึงจุดหนึ่งก็เชือดเอาเนื้อไก่ไปขาย ซึ่งในปัจจุบันเราไม่มีทางเลือกอื่นใดเลยนอกจากจบมาเพื่อเป็นทาสของระบบทุน ทำงานอย่างหนักวันละเป็นสิบชั่วโมง แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังไม่พอกิน บอกแล้วว่าระบบทุนไม่ได้ออกแบบมาเพื่อมนุษย์ มันเป็นไปเพื่อกำไรสูงสุดของเจ้าของกิจการเท่านั้น

กลไกการดำเนินไปของระบบทุนนั้น ขัดกับธรรมชาติเดิมของมนุษย์โดยสิ้นเชิง อันเป็นเหตุเราให้เกิดทุกข์มากมาย อัตราการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น สถิติอาชญกรรมเพิ่มขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะมนุษย์ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้รองรับความเครียด ความบีบคั้นที่เกินจำเป็น ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ทำเงินเยอะๆเพื่อใช้เงินซื้อสิ่งที่เกินความจำเป็นนอกเหนือจากปัจจัยสี่ แต่ทุกวันนี้เรากำลังถูกนิยามใหม่ให้เป็นแค่ผู้บริโภคกับแรงงานเท่านั้น และระบบก็กำลังปฏิบัติกับเราเช่นที่ว่านี้มาตั้งแต่เราเริ่มการศึกษาขั้นพื้นฐาน

กระบวนการที่ผลิตผู้บริโภคและแรงงานที่ระบต้องการจึงเริ่มต้นจากการศึกษา ที่ยัดอะไรใส่หัวเรามากมายโดยไม่จำเป็น เรียกว่าเรียนกันจนเบลอ แถมล้างสมองเราด้วยแง่มุมจากศาสตร์ต่างๆตั้งแต่ระดับพื้นฐานจนไปถึงชั้นสูงที่ผู้เรียนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้นำไปใช้ในชีวิตประจำวันเลยสักนิด แถมไม่สามารถบูรณาการผสมผสานเนื้อหาทั้งหมดเข้ากับชีวิตตนเองได้อีก กลายเป็นวิชาการที่แปลกแยกไปจากพื้นฐานของชีวิต เราจึงเห็นเด็กๆที่อ่านออกเขียนได้ แต่ทำอะไรไม่เป็น เก่งแต่ในตำรา เก่งแต่ในทฤษฎี เก่งท่อง แต่พอถามเนื้อหาเชิงลึกก็ได้แต่เงียบ พื้นฐานในการพึ่งพาตนเองแทบไม่มี เราก็เลยได้เห็น เด็กๆที่จบมาแล้วทำงานแล้วแต่ก็ยังแบมือขอเงินพ่อแม่อยู่เหมือนเป็นเรื่องปกติ แล้วพอบอกให้แสดงความสามารถก็มีแต่คนจับไมค์ร้องเพลง อยากเป็นนักร้องกันเป็นแถว

ไม่เท่านั้นการศึกษาในระบบทุกวันนี้ ยังสอนให้เราแก้ปัญหาทุกอย่างด้วยการซื้อ และรักษาภาพลักษณ์หน้าตาเอาไว้ยิ่งชีพ เราจึงเห็นโรงเรียนมากมายจัดให้มีการแสดงทุกปลายภาคเรียนเพื่อให้พ่อแม่มาถ่ายรูปเด็กๆที่แต่งตัวด้วยชุดพิเศษที่พ่อแม่ออกเงินซื้อเอง และให้เด็กๆได้มีใบประกาศนียบัตรเป็นของตนเองทุกๆปี(จนเต็มบ้าน) สร้างความมั่นใจและภูมิใจแบบผิดๆ จนสังคมเรากลายเป็นสังคมที่ฉาบฉวยไปในที่สุด ไม่เชื่อดูรัฐบาลไทยเป็นแบบอย่างความพิกลพิการก็ได้ แถลงอะไรออกมาทีฟังดูดีไป แต่พอไปดูสภาพความเป็นจริงนี่คนละเรื่องเลย ทำเหมือนประชาชนจะไม่รู้น่ะนะ

ตอนจบมาเรารู้สึกว่าเราเจ๋งแบบนี้ล่ะ
นอกจากเนื้อหาวิชาการที่ไม่ได้เรื่องแล้ว ยังมีเรื่องการแข่งขันเอาเป็นเอาตายในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพโรงเรียน การแข่งขันทางด้านวิชาการ จนเด็กๆเกิดความตึงเครียด เด็กในบางประเทศมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงเพราะพ่อแม่คาดหวังเรื่องการแข่งขันมากๆ แม้วิชาการด้านต่างๆจะไม่ได้มีประโยชน์กับชีวิตจริงสักเท่าไหร่ คือเรียนไปเพื่อขอโอกาสดีๆจากคนอื่นเท่านั้น

เด็กในระบบการศึกษาภาคบังคับจึงมีแต่วิชาการประเภท ความรู้นอกตัวเสียเยอะ แข่งกันขนาดที่ว่าบางคนต้องจ่ายค่าเรียนพิเศษแพงกว่าค่าเทอมที่โรงเรียนเสียอีก ทุกวันต้องเรียนซ้ำเรียนซ้อน พอจบมาก็ไม่ได้ใช้เหมือนเดิม เรียนเอากระดาษใบเดียว ภูมิใจแป๊บเดียว แต่พอเรื่องชีวิตตัวเองถึงกับโง่ไปไม่เป็นกันเลยทีเดียว

แล้วรู้อะไรไหมครับ เนื้อหาวิชาการที่เราเรียนกันในชั้นเรียนนั้น เป็นของเก่าโบราณที่ไม่ทันโลกเสียแล้ว เรียนไปก็โง่เหมือนเดิมครับ ได้แต่เกรดที่ต่างก็อุปโลกน์กันเอาเองเพื่อแข่งความจำ

เอาง่ายๆ วิชาสุขศึกษาสอนอะไรเราบ้าง หน้าที่ของอวัยวะต่างๆ กินอาหารให้ครบห้าหมู่ ฯลฯ เรียนมาลืมหมด หรือไม่ก็ไม่ตรงกับที่เจอในชีวิตจริง ทุกวันนี้เลือกกินแทบจะไม่ได้เพราะถูกบังคับให้กินผักไม่กี่อย่าง เห็นจบมาก็เห็นกินอาหารขยะ กินอาหารแปรรูปที่มีแต่สารเคมี ผงชูรส เหมือนกับไม่เคยได้เรียนมาเลย สุดท้ายก็มาพบเอาว่าไอ้ที่สอนๆกันมาน่ะมันเป็นแค่ความรู้แคบๆจากมุมมองและทฤษฏีโบราณเท่านั้นเอง อย่างเช่น เราถูกสอนฝังหัวมาว่าดื่มนมทุกวันได้แคลเซียม ทำให้กระดูกแข็งแรง แต่ทำไมไม่มีใครสอนว่าผักบางชนิดก็มีแคลเซียมมากกว่านมเสียอีก แล้วทำไมไม่สอนด้วยว่า นมวัวมีฮอร์โมนที่คนเลี้ยงเขาฉีดเร่งโตผสมอยู่ ซึ่งมีส่วนให้เด็กๆเติบโตสูงใหญ่มากกว่าแคลเซียม แถมนมวัวก็เป็นตัวเร่งให้เกิดภูมิแพ้ในเด็กและโรคอื่นๆอีกด้วย หรือที่สอนๆกันเรื่องนมมาจากบริษัทขายนมที่ยัดเยียดผ่านมาทางกระทรวงศึกษาธิการหรือเปล่า? เชื่อหรือไม่ว่าทุกวันนี้ ที่อเมริกาเริ่มรณรงค์ให้เลิกดื่มนมวัวกันแล้ว แต่บ้านเรายังรณรงค์ให้ดื่มนมวัวกันอยู่เลย

แต่เวลาสัมภาษณ์งาน นายจ้างจะเห็นเราแบบนี้
ระบบการบริหารโรงเรียนยังสอนให้เรารู้จักซิกแซก หรือที่เรียกว่าโกง ด้วยการจ่ายค่าแป๊ะเจี๊ยะเพื่อที่จะได้สิทธิ์เข้าเรียนโดยไม่ต้องสอบแข่งหรือแค่สอบเป็นพิธี คนรวยๆจึงมีสิทธิ์ที่ดีกว่าในการเข้าโรงเรียนดีๆ(แต่ขอโทษครับ จบมาก็เป็นทาสเหมือนกัน...ฮา) ไปกีดกันคนเก่งโดยธรรมชาติเข้าให้อีก เอาแค่โรงเรียนที่เป็นหน่วยพื้นฐานของสถาบันหลักๆในระบบทุนยังซิกแซกได้ ก็ไม่แปลกอะไรที่ เด็กๆจะเติบโตและดำเนินชีวิตด้วยการการโกงจนถึงที่สุด และใช้วิธีกลบเกลื่อนความจริงด้วยภาพลักษณ์ที่สวยงาม ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายกว่ามากมายนัก

ทุกวันนี้โรงเรียนต่างๆก็ยังเปิดให้เจ้าของสินค้าต่างๆเข้าไปทำโปรโมชั่นแบบ Tie-in ด้วยการแจกขนมขบเคี้ยว หรืออาหารแปรรูป ขนมหวาน อาหารขยะที่เหมือนจะดูดีมีประโยชน์ เหมือนจะเป็นผู้ให้ใจดี และเด็กๆก็มีแต่ได้กับได้ โดยที่คุณครูทั้งหลายไม่รู้ว่า อาหารเหล่านี้ก็มีสารเคมีปนเปื้อนในปริมาณที่ไม่ควรจะกินเข้าไปด้วยซ้ำ ซึ่งนอกจากจะทำให้เด็กๆอ้วนแล้ว ก็ยังเป็นสาเหตุของอาการป่วยอีกหลายโรค เช่น ทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง ฟันผูง่ายขึ้น ตับและไตทำงานหนักขึ้น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือด และเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในอนาคต

นี่ยังไม่พูดถึงการจัดคอร์สเรียนพิเศษมากมายเพื่อมาดูดเงินของผู้ปกครอง ทำให้ดูเหมือนว่าการเรียนในหลักสูตรไม่เพียงพอเสียแล้วสำหรับการแข่งขันอันดุเดือดในปัจจุบัน ถามว่าเรียนกันมากขนาดนี้แล้วถ้ามันยังไม่พออีก ก็ลองคิดดูแล้วกันว่าเราอยู่ในสังคมแบบไหนกันแน่

ดูสิครับ ต่างจากการวิ่งแข่งหมาหรือเปล่า?
จะว่าไป ทุกวันนี้ระบบการศึกษาถูกทุนนิยมครอบงำไปหมดแล้วทั้งจิตวิญญาณ ตั้งแต่อนุบาลจนถึงระดับมหาวิทยาลัย จนพูดได้ว่าโรงเรียนส่วนใหญ่ เห็นพ่อแม่ผู้ปกครองเป็นผู้บริโภค เห็นเด็กๆเป็นการปั้นสินค้าให้ถูกใจผู้ปกครอง แต่แปลกแยกจากโลกรอบตัว โรงเรียนทุกวันนี้สนใจแต่การทำการตลาด สร้างภาพลักษณ์ให้ทั้งโรงเรียนและเด็กๆ มุ่งแต่หาเงินเข้าโรงเรียนทุกวิถีทางจนผู้ปกครองหน้าเขียว จนการศึกษากลายเป็นอภิสิทธิ์เฉพาะผู้มีเงิน แล้วกลบเกลื่อนความล้มเหลวของระบบการศึกษาด้วยการจัดการแสดงของเด็กๆให้ผู้ปกครองดูและถ่ายรูปเป็นที่ระลึกตอนจบภาคเรียนเพื่อให้ผู้ปกครองรู้สึกว่าลูกของตนประสพความสำเร็จอะไรสักอย่าง สร้างความภูมิใจหลอกๆให้ผู้ปกครองอีก ถึงตรงนี้ก็พูดได้อย่างเต็มปากเลยครับว่า ระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่ว่าจะเป็นการศึกษาฟรีหรือการศึกษาที่ต้องใช้เงินแพงๆก็ล้วนแล้วแต่ล้มเหลวพอกัน เพราะสร้างได้แต่พลเมืองที่คับแคบในตนเอง ขาดทักษะชีวิต เก่งวิชาการแต่พิการเรื่องการช่วยตัวเอง ทำเป็นแต่ข้อสอบ และเป็นได้แต่ผู้บริโภคที่ต้องล่ามติดอยู่กับระบบทุนนิยมเท่านั้น

แล้วผลผลิตที่ได้คืออะไรรู้ไหมครับ?

ทุกวันนี้เรามีแต่ผู้คนจำนวนมากที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ของโลกตามความเป็นจริง เชื่อสื่อยิ่งกว่าเป็นพระเจ้า บอกให้ซื้ออะไรก็ซื้อ บอกว่าอะไรดีก็เชื่อไปหมด ทุกคนพยายามปกปิดความเป็นจริงอันขัดแย้งในตัวเองอย่างรุนแรงด้วยภาพสวยๆของการมีชีวิตที่หยิบยืมจากแคตตาล็อกสินค้า และดำรงชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึกหวาดกลัว ไม่มั่นคง สิ้นหวัง ไร้ทางเลือกอื่นนอกจากอยู่ในระบบทาสทุนให้ภาพสวยๆหลอกไปวันๆ และเก็บกดความกังวลใจอยู่ลึกๆ ไม่กล้าที่จะพูดกับใครเพราะภาพลักษณ์ของทุกคนสวยหรูหมด จนกลายเป็นปมให้ดิ้นรนเกินความจำเป็นในการดำรงภาพอันสวยงามจากหนังโฆษณาเอาไว้กับตัวให้นานที่สุด ซึ่งก่อให้เกิดทุกข์ตามมาอีกมากมาย

สิ่งเหล่านี้คือความสำเร็จของการศึกษาในกะลาโดยระบบทุน ที่ได้สร้างผู้บริโภคผู้หิวโหยออกมาหล่อเลี้ยงความมั่งคั่งของระบบทุน แต่เป็นความล้มเหลวอย่างที่สุดในแง่ของการศึกษาที่สนับสนุนให้เด็กๆได้เติบโตเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์

ระบบการศึกษาสำหรับมนุษย์ที่แท้จริงนั้น ควรจะอยู่บนพื้นฐานเดิมตามธรรมชาติของมนุษย์ ให้ความรู้ที่สัมพันธ์กับภูมิศาสตร์และธรรมชาติในท้องถิ่น อยู่บนพื้นฐานของความเรียบง่าย ไม่ดัดจริต ให้พึ่งพาตนเอง ไม่เห่อเหิมฟุ้งเฟ้อ เน้นเรื่องของทักษะชีวิต หลักธรรม มากกว่าวิชาการที่ซับซ้อนไร้ประโยชน์ ยอมรับความแตกต่างของบุคคลและพื้นถิ่น ไม่ใช่ดันทุรังใช้มาตรฐาน เดียวกันไปวัดเด็กทั่วประเทศ คนนะครับไม่ใช่ปลากระป๋อง และการไปทำให้ทุกคนเป็นอินเตอร์หมดมันไม่ใช่แนวทางถูกต้อง มันทำให้เด็กๆแปลกแยกจากบ้านเกิด ผู้ให้กำเนิด และรากเหง้าของตนเอง จนเกิดช่องว่างในครอบครัว ในชุมชน ทำให้คุยกันไม่รู้เรื่อง ทะเลาะเบาะแว้ง อัตตาจัดทั้งๆที่ความรู้ที่ได้มาก็แค่งูๆปลาๆนั้น ไม่เว้นแม้กระทั่งคนจบโท จบเอก หรือดอกเตอร์ก็เหมือนกันหมด

แต่เชื่อได้เลยว่าสิ่งที่ผมเสนอไปในย่อหน้าก่อนนั้น จะไม่มีวันได้เกิดขึ้น...โดยภาครัฐ เพราะมันจะทำให้นายทุนและนักการเมืองหมดอำนาจ เมื่อผู้คนทั้งหลายมีปัญญาพึ่งพาตนเอง รู้จักพอ และเข้าใจกลไกการทำงานของมายาทุน จนไม่มีเงื่อนไขใดที่นายทุนจะใช้ล่อลวงให้ติดกับดักหนี้ได้อีก ระบบทุนสามานย์ก็จะอยู่ไม่ได้ไปเองครับ แต่ไม่ต้องห่วงหรอก เพราะก่อนมีระบบทุนเราก็อยู่กันมาได้จนถึงวันนี้อยู่แล้ว ฮ่าๆ

เนื้อหาทั้งหมดที่ว่ามานี้ไม่ได้มีเจตนาตำหนิครูบาอาจารย์นะครับ เพราะท่านก็ไม่รู้และเข้าใจกลไกตรงนี้เหมือนคนอื่นๆ ไม่อย่างนั้นท่านก็คงไม่เป็นหนี้กันอ่วมท่วมหัวหรอก ท่านเองก็ถือว่าเป็นเหยื่อของระบบทุนเท่าๆกับพวกเราทุกคน ที่เล่าความจริงแบบไม่มีใครกล้าเปิดให้อ่านกันนี้ เพราะมันถึงเวลาแล้วที่จะตื่นมาพิจารณาและยอมรับความจริงที่เป็นอยู่โดยไร้คติหรืออคติใดๆ แล้วอย่าไปคิดว่าเราเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะการเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้จะเริ่มเกิดขึ้นในภาคประชาชน เหมือนเช่นระบบเศรษฐกิจพอเพียงที่กำลังตั้งไข่ในภาคประชาชน ณ เวลานี้

ขอเพียงแต่ให้เปิดกว้าง อย่ากลัวว่าอนาคตจะไม่มั่นคง อย่ากลัวการเปลี่ยนแปลง อย่าคับแคบอยู่กับผลประโยชน์เฉพาะหน้าของตนมากเกินไป จนลูกหลานถูกละเลย เพราะความที่เราไปมีเงื่อนไขผูกมัดกับระบบมาก ก็ยิ่งจะทำให้เราไม่มีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น ขาดอิสรภาพที่แท้จริง สามารถถูกบีบได้ตลอดเวลา และผมรับรองได้ว่าตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ แถมเอาไปเท่าไหร่สุดท้ายก็ต้องกลับมาใช้คืนเท่านั้น ซึ่งความคับแคบเห็นแก่ได้มากเกินไปของระบบทุนนี่แหละที่กำลังจะทำลายตัวเองในไม่ช้า

ดังนั้นถ้าใครยังพึ่งระบบการศึกษามากเกินไปก็แนะนำให้เปลี่ยนมาพึ่งตนเองและพึ่งพากันเองให้มากขึ้น เรียนในระบบได้ไม่เป็นไร แต่เราต้องสอนทักษะชีวิต ให้เขาได้เจอสภาพการณ์ต่างๆตามความเป็นจริง เพราะนั่นคือการเรียนรู้ที่ดีที่สุดเท่าที่พ่อแม่จะให้ได้ เลิกเข้าใจผิดกันได้แล้วว่าการเลี้ยงลูกประคนประหงมอย่างดีคือความรักความเมตตา กลับกันการเลี้ยงดูแบบไข่ในหินนั่นแหละที่จะย้อนกลับมาทำร้ายเด็กๆในภายหลัง

แล้วก็เลิกหวังพึ่งนักการเมืองและภาครัฐไปได้เลยครับ เพราะขนาดนักการเมืองทั้งหลายหรือแม้แต่รัฐมนตรีรกระทรวงศึกษาธิการเองก็ยังส่งลูกๆเรียนอินเตอร์หรือเมืองนอกแพงๆโดยไม่เคยเหลียวแลโรงเรียนภาครัฐ นี่ก็คือดัชนีที่ชี้วัดแบบชัดๆว่าระบบการศึกษาไทยล้มเหลวโดยสิ้นเชิงอย่างแท้จริง โดยไม่ต้องยกสถิติใดๆมาอ้างแม้แต่นิดเดียว

2 comments:

  1. เข้ามาตามอ่านไปเรื่อยๆค่ะ และขออนุญาตนำไปเผยแพร่ในหมู่เพื่อนนะคะ เป็นบทความที่อ่านง่าย กระตุกโลกทัศน์ของหนูถีบจักรในโลกแห่งุ่นสามาย์จริงๆค่ะ ขอบคุณอีกครั้งที่ท่านเขียนเรื่องราวที่เต็มเปี่ยมด้วยสาระให้เราอ่านนะคะ

    ReplyDelete
    Replies
    1. แชร์ไปได้ตามสบายนะครับ ไม่ต้องขอ ท่เขียนเผยแพร่ในวงกว้างก็เพราะต้องการให้เข้าใจสถานการณ์ที่เป็นจริงกันน่ะครับ

      Delete