Sunday, April 8, 2012

หัดยืนบนขาตัวเองที่ ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติสองสลึง ตอนที่ 1

หลายคนอ่านหัวข้อบทความแล้วอาจจะพาลเข้าใจว่าเป็นบทความเล่าเรื่องประสบการณ์กายภาพบำบัดของผู้เขียนแหงๆ

จะใช่ก็ว่าใช่ เพราะทุกวันนี้สัญชาติญาณการพึ่งตนเองของเรามันง่อยเปลี้ยเสียขาจนแทบจะพึ่งตนเองกันไม่ได้อยู่แล้ว เรียกว่าเป็นผู้พิการในการพึ่งตนเองก็คงจะได้

ไม่เชื่อดูช่วงน้ำท่วมใหญ่ที่ผ่านมาสิครับ คนเมืองพึ่งตนเองได้ที่ไหน แค่ของกินของใช้ในซุปเปอร์มาร์เก็ตหมดจากชั้นวางเท่านั้น ก็ต้องตาลีตาเหลือกวิ่งไปซื้อไกลกันถึงหัวหิน ถึงชลบุรี(ไปหาน้ำถึงระยองก็ได้ยินมาแล้วครับขอบอก) แต่ผมเห็นชาวบ้านต่างจังหวัดออกเรือหาปลากินกันตายได้โดยไม่ต้องพึ่งร้านสะดวกซื้อ เท่านี้ก็ทำให้ผมรู้แล้วว่าคนเมืองนั้นง่อยขนาดไหน หากวันนั้นน้ำท่วมพื้นที่กทม.ทั้งหมด ก็คงจะถึงคราวฉิบหายจริงๆแล้ว ก็ใครเล่าจะช่วยคนกทม.เมืองสวรรค์ที่พึ่งตัวเองไม่ค่อยได้ราว 10 ล้านคนได้หมด

หลังจากน้องน้ำไปแล้ว ผมจึงได้มาสนใจหลักเศรษฐกิจพอเพียง พอปิ๊งกับเศรษฐกิจพอเพียงปั๊บ มันก็เชื่อมโยงมาที่กสิกรรมธรรมชาติโดยอัตโนมัติ นัยว่าต้องการเรียนรู้วิชาที่พึ่งตนเองจริงๆ เพราะที่ผ่านมาจะกินอะไรเข้าไปก็มีคนทำให้เสร็จ สำเร็จรูปกันจนเป็นสันดาน ผักแต่ละอย่างที่กินๆเข้าไป ผมเองก็ไม่ค่อยได้เห็นสัณฐานดั้งเดิมของมันมากนัก (มีบ้างในช่วงที่ทำกับข้าวเอง...ก็ยังดีที่ทำกับข้าวเก่งพอตัว) เรียกว่าถ้าไปเจอต้นผักเป็นๆคงไม่รู้ว่าเป็นผักกินได้ อดตายกันตรงนั้นให้ฮาเล่นเลย

เมื่อศึกษาหลักเศรษฐกิจพอเพียงจนเข้าใจแก่นแท้แล้ว ก็พบว่า เฮ้ย!! นี่ในหลวงท่านทรงวางแผนปลดแอกพวกเราจากความเป็นทาสทางเศรษฐกิจนี่หว่า ว่าแล้วผมก็ถลำเข้าไปในกลุ่มสองสลึง fan community ใน facebook แล้วก็ไถลไปเจอกลุ่มเกษตรกรแนวธรรมชาติอีกหลายคน จนในที่สุดผมก็ตัดสินใจไปอบรมกสิกรรมธรรมชาติที่ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติสองสลึง ของผู้ใหญ่สมศักดิ์ เครือวัลย์ ที่อ.สองสลึง จ.ระยอง หลักสูตรแรกของปี 2555

ที่เลือกที่นี่ก็เพราะผมเคยเจอลุงผู้ใหญ่ในงานของทีวีบูรพาหลายปีก่อน ซึ่งจำได้ว่าแกพูดได้สะใจมาก

ผมออกเดินทางโดยขึ้นรถทัวร์จากเอกมัย สายกรุงเทพฯ-แกลงรอบ 6 โมงเช้าที่กว่าจะลากไปถึงแกลงจริงๆก็ปาเข้าไป 9 โมงครึ่ง จากนั้นก็ต่อรถสองแถวสีเหลืองจากแยกแกลงไปลงที่หน้าวัดสองสลึงอีกเกือบๆ 40 นาที ขอบ่นหน่อยเหอะว่ามันขับช้ามาก ลากกันไม่รู้จะลากยังไง 555 จากนั้นผมก็โทรหาคุณปุ้ม แล้วคุณปุ้มก็ส่งคนมารับผมเข้าไปที่ศูนย์ฯ
พื้นที่ด้านหน้าหอประชุมที่ใช้สำหรับจัดบรรยาย

พอผมไปถึงก็สายแล้วครับ 10 โมงกว่าๆ เขาแบ่งกลุ่มกันไปหมดแล้ว พอไปถึงผมก็ไปกรอกใบสมัครก่อนเป็นอันดับแรก เสร็จแล้วก็เข้ากลุ่ม ผมไปต่อแถวสีฟ้า มีสีม่วง สีแดง และสีเหลืองตั้งแถวอยู่ไม่ไกลกันมาก หัวหน้ากลุ่มก็ได้แล้ว กำนันรุ่นก็ได้แล้ว รอดตัวไป (แต่ต่อมาโดนทำโทษกันนิดหน่อยฐานมาสาย แต่ไม่บอกนะว่าโดนอะไร หุหุ)

วันแรกนั้นมีคนเข้าอบรมถึง 70 กว่าคนจากการนับคร่าวๆ (แต่พอวันถัดๆไปก็ทยอยกลับกันบ้างจนเหลือประมาณ 60 คน)

การอบรมที่นี่จะไม่สนใจเรื่องอายุนะครับ ทุกคนต้องฝากอายุกับอาจารย์ไว้ก่อน จะได้เล่นเกมหรือทำโทษกันได้ถนัดๆ ใครอายุเยอะแล้วก็คงได้รำลึกความหลังเมื่อครั้งเรียนมหาวิทยาลัยกันก็คราวนี้แหละ

รอบการอบรมนี้ เห็นลุงผู้ใหญ่สมศักดิ์ บอกว่าเป็นรุ่นที่แตกต่างจากรุ่นอื่นที่ส่วนใหญ่ถูกบังคับให้มา ถือว่าเป็นการเข้าโปรแกรมฟื้นฟูหนี้สินกับธกส.(ก็ล้มเหลวจากเกษตรเชิงเดี่ยวตามที่ธกส.สนับสนุนไม่ใช่เหรอ...ฮา) ซึ่งถ้ารุ่นไหนโดนบังคับมา มันก็จะเหมือนจับปูใส่กระด้งครับ คือวุ่นวายไปหมด คนเข้าอบรมไม่สนใจ ไม่เข้าใจ บางคนมาเซ็นชื่อแล้วก็จะกลับ ทำให้อาจารย์ต้องเหนื่อยไปตามๆกัน

ส่วนคนที่เข้ามาอบรมครั้งที่ 1 ปี 2555 นั้นมีมาหลากหลายรูปแบบ ผมเองไปอบรมเพราะต้องการเรียนรู้วิชาเอาไว้พึ่งตนเองและเริ่มมองหาที่ทางต่างจังหวัดเพื่อไปทำเกษตรธรรมชาติ เพราะเบื่อสังคมอบายภูมิในเมืองเหลือเกิน ธาตุเรามันไม่เข้ากับเขาไง บางคนมาเรียนเพราะซื้อที่เอาไว้แล้ว ทำเกษตรแบบลองผิดลองถูกล้มลุกคลุกคลานจนทนไม่ไหวต้องมาเรียนเองกับตัว หลายคนเริ่มเบื่อชีวิตเมืองเหมือนกันถึงขนาดลาออกมาจากงานแล้วก็มี บางคนเรียนเพื่อที่จะกลับไปทำไร่ทำนาที่บ้าน บางคนมาเพื่อหาวิธีปลดหนี้ให้ตัวเอง ฯลฯ ซึ่งโดยรวมแล้วทุกคนมาเพื่อที่จะเรียนรู้จริงๆ มีความตั้งใจจริงในการเรียนและฝึกฝน รอบนี้เป็นบัณฑิตจบปริญญากันเยอะครับ

มีพี่คนหนึ่งมาเพราะติดในวงจรหนี้ของการเลี้ยงไก่แบบ contract farming ซึ่งเป็นวงจรที่เหมือนในสารคดีเรื่อง Food Inc. ไม่มีผิด คือผมร่ายเป็นลำดับขั้นไป พี่แกก็พยักหน้ารับว่าใช่หมด โอ้โห...มันมาถึงนี่แล้วเหรอไอ้ระบบอุบาทว์เนี่ย เอาไว้ค่อยเขียนแฉเป็นกรณีพิเศษทีหลังก็แล้วกัน

หลังจากฟังลุงผู้ใหญ่บรรยายเสร็จ ก็ได้เวลาอาหารมื้อแรก ซึ่งเป็นอาหารมื้อที่ทำให้ผมแปลกใจมาก อาหารก็พื้นๆล่ะครับ ไม่ได้มีอะไรพิสดาร แต่พอผมได้กินผักสดๆที่เก็บจากในพื้นที่ศูนย์กับน้ำพริกกะปิของโปรด ผมก็ได้แต่อึ้งกับรสชาติของผักที่พูดได้คำเดียวว่าอร่อยโคตรๆ เพราะมันทั้งสด ทั้งกรอบ(มากๆ) ทั้งหวาน จนผมต้องไปหยิบผักและตักน้ำพริกเพิ่ม งานนี้อ้วนแน่ๆครับ 555 ส่วนทำไมผักถึงอร่อย เดี๋ยวตามอ่านก็แล้วกัน

ช่วงบ่ายพวกเราเริ่มต้นฟังบรรยายจาก อ.ยักษ์ วิวัฒน์ ศัลยกำธร แม่ทัพใหญ่ของเครือข่ายศูนย์กสิกรรมธรรมชาติ และหัวหอกของแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งท่านก็บรรยายได้อย่างดุเดือดเลือดพล่านจนเลยเวลา(ฮา) อีกทั้งยังรู้และเข้าใจเศรษฐกิจพอเพียงและสถานการณ์บ้านเมืองอย่างลึกซึ้งจริงๆ ถึงขนาดที่ว่า ณ ตอนนี้ เครือข่ายกสิกรรมธรรมชาติทุกแห่งเตรียมรับผู้อพยพลี้ภัยกันในช่วงปลายเดือนเมษายน 55 แล้ว(เอาว่าจะเป็นอะไรเดี๋ยวก็ได้รู้กัน)

ไม่ใช่แค่ดีแต่หลักการนะครับ ท่านยังรู้จริงเรื่องการปลูกข้าวโดยไม่ใช่เคมีด้วย ผมฟังแล้วก็ยังทึ่งเลยว่า อ.ยักษ์ท่านบรรยายเรื่องการปลูกข้าวโดยไม่ต้องกำจัดวัชพืชได้ละเอียดมาก..จนแอบสัปงกไปนิดนึง(ฮา)

นอกจากนั้นท่านยังนำเสนอโมเดล โคก หนอง นา เอาไว้รับมือภัยพิบัติน้ำท่วมที่จะเกิดขึ้นในปีนี้เอาไว้ด้วย โดยมีแนวคิดว่า ให้ทุกครอบครัวที่มีที่นา ขุดบ่อน้ำเอาไว้ในพื้นที่ตนเอง แล้วดินที่ขุดได้เอาไว้ทำโคกขนาดใหญ่เพื่อหนีน้ำไปอยู่บนโคก ในเวลาที่น้ำหลากมา สระที่ขุดเอาไว้จะได้กักเก็บน้ำไปเต็มๆ ส่วนผืนนาก็จะกักน้ำเอาไว้ด้วย ท่านบอกว่าถ้าเกษตรกรทุกบ้านทำแบบนี้ รับรองน้ำมามันก็ไม่ท่วมหรือท่วมก็น้อยกว่าที่ผ่านมา อันนี้ผมก็ว่าโอเคนะครับ เป็นแนวคิดที่เข้าท่ามาก แต่ติดตรงที่ค่าจ้างขุดสระแต่ละสระนี่ไม่ใช่ถูกๆนะครับ แล้วเกษตรกรจะมีเงินไปจ้างขุดเหรอ ซึ่งจริงๆถ้าพิจารณาเผินๆ มันก็ใช้เงินเยอะครับ แต่อย่าลืมว่าที่สุดแล้ว คุณูปการในการมีสระน้ำบนที่ตนนั้น จำเป็นแต่ระบบนิเวศน์ในที่ดินจริงๆ และมันจะเอื้อต่อความอุดมสมบูรณ์ในภายหน้าด้วย ซึ่งอันนี้คงจะต้องหาแนวทางกันต่อไปว่าคนในชุมชนจะช่วยเหลือกันอย่างไรให้ค่าใช้จ่ายในการขุดสระน้ำถูกที่สุด

มีอีกอย่างหนึ่งที่ท่านพูดได้โดนใจผมมากๆคือ ท่านด่าระบบการศึกษาสมัยนี้ที่เรียนสูงๆกันแต่ที่สุดก็พึ่งตนเองไม่ได้ ไม่รู้จะเรียนกันไปทำไม ผมเองก็รู้สึกอย่างนี้มานานแล้ว พวกเราร่ำเรียนวิชาการทั้งหลายอย่างยากลำบากเป็นสิบกว่าปี ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา สังคม เทอร์โมไดนามิก ดิจิตอล คอมพิวเตอร์ แต่สุดท้ายแล้วที่เหลือใช้จริงๆเนี่ย แค่อ่านออกเขียนได้ คิดเป็น ทำเป็น คิดเลขพื้นฐานได้ ทำคอมพิวเตอร์แบบเบสิคเป็น จบ หรือใครว่าไม่จริง?

จะว่าไปคอมพิวเตอร์นั้นผมก็มาเรียนรู้เองทั้งนั้น เพราะเรียนในห้องเรียนไม่รู้เรื่อง ก็มันสอนแต่วิธีการไง ไม่ได้สอนแก่นแนวคิด ใครจะไปจับหลักถูกล่ะวะ แต่พอเรียนเอง จับแก่นได้เอง ที่เหลือก็ง่ายแล้ว ทำได้หมดทุกโปรแกรม

ส่วนวิธีคิดโรงเรียนก็ไม่สอน มาเรียนกันเองกับประสบการณ์ทำงานทั้งนั้น เรียกได้ว่าทำงานปีหนึ่งได้เรียนรู้มากกว่าที่เรียนในมหาวิทยาลัยด้วยมั๊ง

ไปดูได้เด็กสมัยนี้ที่มันเรียนสองภาษาสิ ผมเองยังชอบแซวๆ(แต่เอาจริง)กับทุกคนเลยว่า ไอ้ที่เรียนสองภาษาน่ะ มันไม่ได้สอนภาษาคนหรือไง มันถึงคุยกันไม่รู้เรื่อง(ฮา)

สรุปแล้วเราเรียนวิชาส่วนเกินทั้งหมดเพื่ออะไรวะเนี่ย เสียเวลาชีวิตจริงๆ 555 (นี่เป็นเหตุที่ผมไม่เรียนปริญญาโทต่อเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว เพราะเรียนไปก็อยู่แต่ในกรอบแค่นั้นแหละ)
ตัวอย่างสไลด์ของ อ.เจริญวิทย์ 
พอ อ.ยักษ์บรรยายจบ ก็ต่อด้วยอ.เจริญวิทย์ สเน่ห์หา จากกระทรวงเกษตรฯ ซึ่งท่านมาบรรยายเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงชนิดลงลึก ท่านชี้ให้เห็นที่มาที่ไปและการตีความหลักเศรษฐกิจพอเพียงในแบบต่างๆอย่างละเอียด คือสไลด์นี่ละเอียดมากจนจดไม่ทัน(ฮา) ต้องถ่ายเป็นรูปเอา นอกจากนั้นท่านยังเน้นให้เราเข้าใจถึงสถานการณ์บ้านเมืองปัจจุบันผ่านเรื่องราวของพระมหาชนก ภาพประกอบที่แฝงคำทำนายเหตุบ้านการณ์เมืองที่เขียนเอาไว้ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์จริงเป็นเวลานานมาก ผมฟังแล้วก็ได้แต่อึ้งๆว่า ภาพในมหาชนกนั้นซ่อนรายละเอียดและนัยยะที่สอดคล้องกับความเป็นจริงในปัจจุบันได้อย่างแนบเนียนมาก ถือเป็นรหัสลับที่ในหลวงท่านทรงบอกกับประชาชนทุกคนว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับบ้านเมืองต่อไป ซึ่งน่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้เรื่องที่พระองค์ทรงสื่อสารมา

กว่าอ.เจริญวิทย์จะบรรยายเสร็จก็เย็นแล้วครับ จากนั้นเราก็เคารพธงชาติ และกินข้าวเย็น รอบนี้ผมหยิบผักเยอะกว่ามื้อที่แล้วอีก แถมแอบจ้วงน้ำพริกกะปิเพิ่มอย่างเมามัน อร่อยจริงๆคุณป้าแม่ครัว ขอบอก 555

หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ ผู้เข้าอบรมทั้งหมดทำกิจกรรมสนุกๆกันต่อจนสามทุ่มกว่าๆ จึงแยกย้ายกันอาบน้ำและเข้านอน

มีสิ่งหนึ่งที่ผมแปลกใจมากคือ ที่นี่แทบจะไม่มียุงหรือแมลงรำคาญเลยครับ ทั้งๆที่พื้นที่ในศูนย์นั้นเกือบๆจะเรียกได้ว่าป่าล้อมรอบเลยก็ว่าได้ ลุงผู้ใหญ่ถึงเฉลยเอาว่าเพราะดินดี น้ำดี ยุงมันเลยไม่มี ซึ่งก็จริงครับ น้ำในบ่อที่นี่ค่อนข้างใสสะอาดทีเดียวเมื่อเทียบกับบ่อดินทั่วๆไป

คืนนั้นผมนอนหลับไป(แบบหลับๆตื่นๆ) พร้อมกับประตูมุ้งลวดที่ปิดไม่สนิทของเรือนพักชาย(โชคดีที่ไม่มียุง) และเสียงไอหนักๆตลอดคืนของเพื่อนร่วมอบรม ก่อนที่จะเจอศึกหนักในวันที่สอง

จะไม่หนักได้ยังไงครับ ก็ล่อเข้าไป 5 วิชา แต่จะเป็นยังไงต่อ เจอกันตอนต่อไปครับ

ปล.ที่ไม่ได้ถ่ายภาพอ.ยักษ์มาก็เพราะผมอยู่หลังสุด แถมแสงน้อย ได้แต่ถ่ายวิดีโอมาครับ เอาไว้จะลงให้ดูกันทีหลังครับ

No comments:

Post a Comment