Sunday, July 29, 2012

ภัยสี่ด้านในบ้านคุณ 2


ความเครียดนั้นเกิดจากอะไร?

ความเครียดนั้นเกิดจากความคาดหวังต่อสิ่งต่างๆ อยากจะให้มันดี อยากจะให้มันสวยงาม อยากจะให้มันเป็นไปตามฝัน หรืออาจจะเกิดจากความบีบคั้นทั้งในเชิงกายภาพ พื้นที่อยู่อาศัย สังคมรอบข้าง ครอบครัว และสิ่งต่างๆที่เราไป "ผูก" อยู่ด้วย ซึ่งทุกวันนี้เราก็อาศัยและทำงานกันอยู่บนความเครียดตลอดเวลานี่แหละ

แล้วความเครียดจากการทำงาน จากการใช้ชีวิตเบียดเสียด แออัดยัดเยียด ก็ทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายผิดปกติ และหลั่งสารที่ทำร้ายเซลส์ในร่างกายออกมาอยู่ตลอด ส่วนอาหารที่มีสารพิษและสารเคมีปนเปื้อนทุกๆมื้อก็เป็นทั้งสาเหตุและตัวเร่งปฏิกิริยาให้ร่างกายเจ็บป่วยได้เร็วขึ้น พอมีปัจจัยทั้งสองอย่างนี้เข้ามาในชีวิตคนในระบบทุน โรคภัยไข้เจ็บจึงถามหาเอากับคนจำนวนมากอย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็น โรคหัวใจ โรคอ้วน โรคหลอดเลือดอุดตัน โรคหลอดเลือดแข็งตัว โรคเบาหวาน โรคความดัน มะเร็งชนิดต่างๆ ภูมิแพ้ ฯลฯ อีกมากมาย จนแทบไม่น่าเชื่อว่า ทั้งๆที่เราอยู่ในยุคสมัยที่มีความเจริญก้าวหน้าในวิทยาการด้านต่างๆมากมายขนาดนี้ แต่โรคภัยไข้เจ็บต่างๆก็เพิ่มมากขึ้นและรุมเร้าเราได้มากพอๆกับความเจริญที่มีที่เป็นอยู่ ณ ปัจจุบัน

พอเจอโรครุมเร้าขนาดนี้ ผู้ที่(คิดว่าตัวเอง)ไม่มีทางเลือกทั้งหลาย ก็ต้องวิ่งไปพึ่งการแพทย์สมัยใหม่และระบบสาธารณสุขที่มีอยู่แทบจะเป็นตัวเลือกเดียว แต่แทนที่จะเป็นการหนีร้อนมาพึ่งเย็น ก็กลับกลายเป็นว่าสถานการณ์ยิ่งแย่ลงไปอีก เพราะทุกวันนี้ค่ารักษาพยาบาลก็แพงขึ้นทุกวันๆ บางที่แค่รักษาหวัด ค่ายาค่าหมอก็ล่อเข้าไปสองพันกว่าๆแล้ว นี่แค่โรคพื้นๆนะครับ ถ้าเป็นโรคที่หนักกว่าไข้หวัด คนป่วยก็อาจจะตายเพราะค่ารักษาพยาบาลก่อนอาการของโรคก็เป็นได้

ไม่เพียงแค่ค่ารักษาพยาบาลที่ดูเหมือนจะกลายเป็นเรื่องธุรกิจแทนที่จะเป็นการรักษาคนป่วยเป็นอันดับแรก เรื่องราวของความฉ้อฉลของบริษัทยาและระบบสาธารณสุขนั้นก็มีอยู่มากมาย แต่ข่าวอื้อฉาวส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ถูกติดตามอย่างต่อเนื่อง และหายไปในระยะเวลาอันรวดเร็ว เหตุผลนั้นก็ลองคิดเอาเองครับว่าบริษัทยักษ์ใหญ่หรือเครือข่ายโรงพยาบาลที่มีมูลค่าธุรกิจมหาศาลจะยอมให้ตัวเองล้มละลายกับแค่ข่าวการฉ้อฉลนิดๆหน่อยๆงั้นเหรอ ไม่มีทางครับ

แค่นี้ยังไม่หนำใจครับ รู้หรือเปล่าว่า ยาบางตัวที่มีอยู่ในตลาดทุกวันนี้ ไม่มีประสิทธิภาพในการรักษาอย่างแท้จริงด้วยซ้ำ แต่ก็ยังมีขายตามร้านขายยาเป็นปกติ แล้วคนไทยก็ซื้อกินกันแบบไม่รู้เรื่องจนกระทั่งทุกวันนี้

การแพทย์สมัยใหม่ จำกัดทางเลือกของเราจนแทบจะหมดสิ้น มันถูกนำเสนอด้วยภาพอันสวยงาม มีงานวิจัยที่ดูเหมือนจะน่าเชื่อถือมาอ้างอิงเพื่อขายของ ซึ่งหลายครั้งงานวิจัยในหัวข้อเดียวกันกลับให้ผลลัพธ์ตรงกันข้ามขัดแย้งกันเองก็มี (ก็นะ...เขาจะขายของน่ะ จะให้พูดขัดกับสิ่งที่ตนนำเสนอก็กระไรอยู่) แถมอุตสาหกรรมการแพทย์สมัยใหม่ยังหาวิธีกีดกันการแพทย์ทางเลือกเพื่อที่จะผูกขายซ้ำเติมเข้าไปอีก ด้วยการผลักดันภาครัฐให้ออกกฏข้อบังคับเชิงกฏหมายต่อการแพทย์ทางเลือกในทุกวิถีทาง ทำให้ต้องใช้ต้นทุนมากขึ้นเพื่อทำทุกอย่างให้ได้ตามมาตรฐานสากลที่ตัวเองยึดถือ ทั้งๆที่การแพทย์ทางเลือกได้ถูกพิสูจน์จริงแล้วในขั้นการรักษา แต่ก็ยังถูกกีดกันไม่ให้เกิดการยอมรับในวงกว้างเพียงเพราะว่ามัน "ไม่ขายยา" (ในธุรกิจการแพทย์นั้น บริษัทยามีอิทธิพลมากขนาดไหนเป็นที่รู้กันดี) หรือพูดง่ายๆคือ "ไม่ทำเงิน" นั่นเอง

ถามกลับครับว่าการหาประโยชน์จนเกินพอดีจากความเจ็บไข้ได้ป่วยของผู้คนทั้งหลายนั้น คุณคิดว่าเป็นอาชญกรรมอย่างหนึ่ง เหมือนจับคนไข้เป็นตัวประกันน่ะ ทุกวันนี้มันเกิดแบบนี้จริงๆแล้วนะครับ เพียงแต่มันเป็นรูปแบบที่ถูกกฏหมายเท่านั้นเอง

ตัวผมเองนั้น รักษาภุมิแพ้มาสิบกว่ายี่สิบปีก็ไม่หาย มาหายตอนดื่มปัสสาวะแค่สองสัปดาห์นี่แหละ หรืออาการที่เคยหยุดหายใจตอนกลางคืน ก็หายด้วยการฝังเข็ม แถมหายในราคาค่ารักษาที่ถูกกว่าค่านอนตรวจการกรนเสียอีก จากคนที่เคยหาหมอทุกเดือนกินยาทุกวัน จนวันนี้ผมไม่ได้หาหมอแผนปัจจุบันมาแล้วเกือบๆ 4 ปี และหากว่าเกิดเป็นโรคอะไรขึ้นมาอีกก็ขอใช้แนวทางแพทย์ทางเลือกเป็นอันดับแรก อย่างน้อยผมก็ไม่ต้องตายด้วยใบแจ้งหนี้การรักษาที่แพงจนดูเหมือนว่ามันจะอันตรายกว่าตัวโรคเองเสียอีก

มีอีกตัวอย่างหนึ่งคือโรคมะเร็ง ซึ่งเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดมากๆว่า การแพทย์สมัยใหม่ยังไม่สามารถรักษาโรคมะเร็งได้จริง แต่การแพทย์ทางเลือกกลับรักษาคนป่วยโรคมะเร็งให้หายขาดไปแล้วมากมาย จนถึงวันนี้ เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเล่าเลื่อนลอยอีกต่อไปเพราะ คนป่วยที่หายจากมะเร็งด้วยการแพทย์ทางเลือกมีมากขึ้นทั่วโลกอย่างเห็นได้ชัด แม้กระทั่งในประเทศสหรัฐอเมริกาที่เป็นผู้นำด้านการแพทย์สมัยใหม่ยังอ้าแขนรับการแพทย์ทางเลือกแล้ว ขณะที่การรักษามะเร็งด้วยการแพทย์สมัยใหม่เริ่มถูกตั้งคำถามมากขึ้นถึงประสิทธิผลในการรักษาโรค

มีตัวอย่างที่ทั้งน่าขันและน่ากลัวคือมีผู้ชายคนหนึ่งนามว่า Jason Vale ได้ศึกษาการรักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีธรรมชาติและพบว่าเมล็ดแอปปริคอตนั้นช่วยรักษาโรคมะเร็งได้เป็นอย่างดี แต่พอชายคนนี้เริ่มบอกต่อๆว่าเมล็ดแอปปริคอตช่วย "รักษา" โรคมะเร็งได้ เมื่อ FDA หรือองค์การอาหารและยาของอเมริกาได้ยินเข้าก็ฟ้องชายผู้นี้จนต้องดิตคุก ดูนะครับว่าบริษัทยายักษ์ใหญ่ของอเมริกามีอิทธิพลต่อ FDA ขนาดไหน

การแพทย์แผนปัจจุบันส่วนใหญ่ไม่ได้แก้ไขที่ต้นเหตุของโรค แต่กลับใช้วิธี "บรรเทาอาการ" หรือไปรักษาอาการที่ปลายเหตุ แต่ไม่ได้ชี้และป้องกันต้นเหตุของการเกิดโรค ดังนั้น หลายๆโรคพอได้รับยาแล้วก็หายไปพักหนึ่งก่อนที่จะกลับมาอีก หรือบางโรคก็ต้องกินยาพยุงอาการไปเรื่อยๆไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ คิดดูก็แล้วกันว่าจะต้องใช้เงินค่าพยุงอาการไปอีกเท่าไหร่ (หรืออาจจะพบวิธีรักษาโรคต่างๆแล้วแต่เอายาบรรเทาอาการออกมาขายให้รวยดีกว่า ยังไงก็ต้องตายกันอยู่แล้ว!)

นี่ไม่นับปรากฏการณ์ "เลี้ยงไข้" และเลือกรับคนไข้ของโรงพยาบาลหลายแห่งที่เกิดขึ้นจริง เพียงแต่อาจจะไม่มีใรครกล้าเปิดเผยหรืออาจจะไม่อยากต่อความก็ได้

คุณภาพของแพทย์รุ่นใหม่ก็เป็นอีกเรื่องที่สร้างปัญหาให้กับระบบสาธารณสุขมาก เพราะแพทย์รุ่นใหม่ๆขาดจรรยาบรรณ ความอดทน เสียสละ มุ่งหวังเอาแต่เงินทอง ชื่อเสียง และความสุขสบายกันมากกว่าที่จะอุทิศตัวเพื่อการรักษาคนป่วยอย่างแท้จริง ทุกวันนี้เราจึงเห็นคนป่วยฉุกเฉินที่เข้าไปโรงพยาบาลบางแห่ง แล้วกลับถูกถามว่า "มีเงินหรือเปล่า" ถ้ามีเงินก็รอดเข้าไปให้เขาเลี้ยงไข้เป็นลำดับต่อไป

ทุกวันนี้หมอดีๆ โรงพยาบาลดีๆก็เลยล้มหายตายจากไปพร้อมๆกับหมอรุ่นเก่าๆ ระบบการรักษาทุกวันนี้ก็กลับกลายเป็น "ธุรกิจการแพทย์" ไปแทนที่

ในอนาคตระบบสาธารณสุขของไทยก็จะเหมือนกับอเมริกาครับ คือ ถ้าไม่มีประกันสุขภาพก็ต้องตายเพราะค่ารักษาพยาบาลที่แพงจนคนธรรมดาไม่สามารถจ่ายได้นั่นแหละ

และเมื่อการแพทย์กลายเป็นธุรกิจ การขายยาและรักษาโรคสามารถทำเงินได้มหาศาล ประกอบเชื้อโรคใหม่ๆ และโรคเดิมๆที่มีจำนวนคนป่วยเพิ่มมากขึ้น ได้กลายเป็นขุมทองในการกอบโกยเงินของธุรกิจการแพทย์ คุณคิดหรือว่าบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้จะยอมให้คุณปลอดจากโรคที่เป็นอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพจริงๆ? คุณแน่ใจได้อย่างไรว่าเชื้อโรคใหม่ๆที่เกิดขึ้นและคร่าชีวิตคนจำนวนมากจะไม่ได้มาจากห้องทดลองของบริษัทยาเหล่านั้น? คุณจะแน่ใจได้อย่างไรว่าโรงพยาบาลจะไม่แอบเลี้ยงไข้คุณเพื่อฉวยโอกาสปอกลอกคุณ? ในเมื่อธุรกิจเหล่านี้ทำเงินมหาศาลจากความเจ็บไข้ได้ป่วยของทุกคน แล้วมีหรือที่เขาต้องการให้เรามีสุขภาพแข็งแรงจริงๆ?

และด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงด้านการแพทย์ในปัจจุบัน ประกอบกับความกลัวเรื่องสุขลักษณะ ทำให้เราอยู่กันแบบปลอดเชื้อมากยิ่งกว่ายุดใดๆ เด็กเดี๋ยวนี้แทบไม่มีแล้วครับ ที่จะได้เล่นโคลน เล่นทราย เล่นน้ำท่วมขัง ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เรายังไม่อนามัยจัดกันขนาดนี้ พอเราห่างไกลจากเชื้อโรคที่เราคุ้นเคยและไม่ก่อโรคให้เรามากขึ้น มันเลยทำให้เราขาดภูมิคุ้มกันและเชื้อโรคเหล่านั้น และกลับกลายเป็นเชื้อโรคอันตรายขึ้นมาทันที คิดดูสิครับว่าร่างกายคนในปัจจุบันอ่อนแอกันแค่ไหน เอะอะก็ต้องพึ่งยาปฏิชีวนะที่นับวัน ร่างกายคนเราก็ดื้อยามากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนติดกับดักความเจริญของตัวเองยังไงยังงั้น

อย่างที่อเมริกา หากใครเป็นไข้หวัด เขาจะห้ามไม่ให้ไปทำงานเลย เพราะเชื้อหวัดที่อเมริกาแรงมาก ฝรั่งบางคนเป็นหวัดที่เมืองไทย กินยาไทยก็เอาไม่อยู่ครับ ต้องกินยาในปริมาณที่มากกว่าคนไทย 2-3 เท่าถึงจะพอได้

ไม่เท่านั้น ลักษณะการทำงานและสถานที่ทำงานที่อยู่ในตึกสูง เป็นสภาพปิดล้อมที่ก่อให้เกิดเชื้อโรคที่แพร่ในอากาศไหลเวียนในตึกได้ง่ายมาก เมื่อสมัยที่ผมทำงานประจำนั้น ผมมีอาการหลอดลมอักเสบบ่อยมาก ต้องหาหมออย่างน้อยเดือนละครั้ง เพราะคุณภาพอากาศในสำนักงานนั้นต่ำกว่าค่ามาตรฐาน ผลตรวจสอบออกมาแต่ก็ไม่รู้จะไปโวยกับใคร บริษัทก็บอกว่าจะแก้ไขแต่ก็เงียบไป โดยเฉพาะเรื่องฝุ่นที่อยู่ในระบบปรับอากาศซึ่งยังไม่นับเชื้อโรคเชื้อราอีกมากมายที่ปะปนอยู่ด้วย แถมการทำงานก็ยังต้องนั่งเคร่งเครียดจมแช่อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ ไม่ค่อยมีการเคลื่อนไหว ยิ่งทำให้ร่างกายอ่อนแอลงจนกลายเป็นคนขี้โรค แล้วเชื่อไหมว่า หลังจากผมออกจากงานประจำมา โรคต่างๆก็ค่อยๆหายไปทีละน้อยๆในที่สุด ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล และทุกข์ทางร่างกายก็ค่อยๆน้อยลงไปด้วยตามลำดับ

แล้วถ้าใครหวังพึ่งระบบรัฐสวัสดิการหรือระบบประกันก็เลิกหวังได้เลยครับ เพราะในที่สุด เราก็จะเหมือนประเทศในยูโรโซนที่ต้องกู้เงินมาอุ้มระบบสวัสดิการจนเป็นหนี้สาธารณะกันหัวโต จนระบบจะล่มสลายอยู่แล้ว เราเองก็หนีไม่พ้นหรอกครับ ก็มันไปทางเดียวกันไงเล่า แล้วจะรอดไปได้ยังไง

โปรดติดตามตอนต่อไป

No comments:

Post a Comment