Wednesday, November 21, 2012

อะไรเอ่ยคือฝันร้ายของนักการเมืองและนายทุน?

ลองเดาเล่นๆดูสิครับว่าอะไรคือฝันร้ายของนักการเมืองและนายทุน?

ม็อบประท้วงรึ?
ปฏิวัติรึ?
ฝ่ายค้านรึ?
ถูกตรวจสอบการทุจริตรึ?

เดาให้ตายก็อาจจะยังไม่ถูกครับ แต่มีท่านหนึ่งที่รู้ว่าอะไรที่จะทำให้คนไทยทั้งหลายได้ปลดแอกจากระบบทาสเศรษฐกิจ ปลดแอกออกจากการสนตะพายโดยนักการเมือง ปลดแอกจากการสูบเลือดเนื้อของนายทุน ท่านที่ผมกล่าวถึงนั้นก็คือ ในหลวง ของคนไทยทุกคนนั้นเอง

การที่พระองค์ท่านมองเกมเศรษฐกิจ การเมือง วิสัยของนักการเมืองและนายทุน ไปตลอดจนถึงอนาคตของประเทศภายใต้ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมอย่างทะลุปรุโปร่ง จึงเป็นที่มาของหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่พระองค์ท่านดำริเอาไว้เกือบจะสี่สิบปีแล้ว เพื่อเป็นแนวทางในการปลดแอกคนไทยนั่นเอง

รู้หรือไม่ว่าอำนาจของนักการเมืองกับนายทุนมาจากอะไร?

ประชาชนงั้นรึ? ก็ยังไม่ตรงนัก แล้วตรงส่วนไหนของประชาชนเล่าที่เป็นอำนาจของนักการเมืองและนายทุน?

อำนาจต่างๆของนักการเมืองกับนายทุนนั้นมาจากการสร้างเงื่อนไขต่อมวลชน เป็นเงื่อนไขที่ผูกโยงมวลชนเข้ามาในเกม อำนาจ และการไหลเวียนของเงินทุน ซึ่งมวลชนคนไทยนี่แหละที่เป็นเหยื่อที่ทรงพลังที่สุดและหลอกง่ายที่สุด

ทีนี้การที่จะชักนำหรือบีบบังคับให้มวลชนเล่นเกมเพื่อตนเองหรือควักเงินให้ตนเองก็ต้องสร้างเงื่อนไขขึ้นมา ซึ่งทุกวันนี้เงื่อนไขต่างๆที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นมามันสลับซับซ้อนมากเกินกว่าที่คนทั่วไปจะเข้าใจ ผมเองแม้จะเข้าใจแต่ถ้าจะอธิบายให้ละเอียดทั้งหมดคงเขียนหนังสือได้หลายเล่ม แต่เราไม่จำเป็นต้องรู้ละเอียดขนาดนั้น ขอเพียงแค่เราเข้าใจเนื้อหาแท้ๆของมันเอาไว้ว่า นักการเมืองและนายทุนจะไม่ยุ่งกับมวลชน ถ้ามวลชนนั้นไม่มีผลประโยชน์ให้ตน และสุดท้ายถึงมวลชนจะได้ประโยชน์บ้าง แต่มันก็จะเป็นเพียงเศษกระดูกที่นักการเมืองและนายทุนโยนให้เป็นรางวัลสำหรับการช่วยให้พวกเขาเหล่านั้นได้ผลประโยชน์ที่มากกว่ามวลชนควรจะได้ คือคิดสะระตะแล้วตัวเองได้มากกว่า เท่านี้มันก็เอากันแล้ว

ต้องยอมรับครับว่า ไม่มีนักการเมืองและนายทุนที่จะทำเพื่อมวลชนจริงๆอีกแล้ว เพราะทุกอย่างถูกคำนวณเป็นต้นทุนกำไรเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ตกลงกันหลังเวทีเรียบร้อยแล้ว ค่อยมาแสดงต่อหน้าประชาชนเป็นพิธีในภายหลัง การเมืองจึงไม่มีที่ให้คนดีๆได้ยืนอย่างแท้จริง อย่างดีก็เป็นหุ่นเชิดบังหน้าเท่านั้น

ซึ่งสิ่งที่นักการเมืองและนายทุนกลัวที่สุดก็คือ หากวันใดที่มวลชนหมดเงื่อนไขให้ผูกมัด ให้บีบบังคับ ไม่สามารถหลอกล่อด้วยผลประโยชน์ใดๆได้อีก ก็เลยไม่เล่นเกมการเมืองไปด้วย นั่นแหละคือจุดจบที่นักการเมืองกับนายทุนกลัวที่สุด

วิถีทางที่จะกำจัดเงื่อนไขซึ่งนักการเมืองและนายทุนใช้เป็นข้อต่อรองในการเล่มเกมอำนาจนั้น ก็คือหลักเศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง!

ทีนี้รู้หรือยังว่าทำไมลึกๆแล้วนักการเมืองและนายทุนถึงไม่สนับสนุนหลักเศรษฐกิจพอเพียงให้เป็นแนวทางหลักของประเทศ หรือถ้าจะแสดงท่าทีสนับสนุน แต่ทรัพยากรทั้งหมดที่จัดหาให้ก็ไม่เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะทำให้ประชาชนได้ลืมตาอ้าปากได้อย่างแท้จริง

เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ประชาชนพึ่งตนเองได้ มีกิน พอกิน มีความสุข เพียงพอในปัจจัยขั้นพื้นฐาน ไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม หมดเงื่อนไขที่จะต้องดิ้นรนแสวงหาอะไรเกินความจำเป็น เมื่อนั้นเงื่อนไขที่นักการเมืองกับนายทุนจะนำมาเล่นเกมเศรษฐกิจและเกมอำนาจก็จะหมดลง นักการเมืองจะไม่สามารถปั่นกระแสเกมอำนาจเพื่อตัวเองขึ้นได้อีก หมดอำนาจต่อรองอย่างสิ้นเชิง แล้วนั่นแหละคือวันที่อำนาจกลับคืนสู่ประชาชนอย่างแท้จริง นักการเมืองก็จะกลายเป็นเหมือนคนธรรมดาที่ไม่มีสิทธิพิเศษอะไรเลย ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ คุณคิดหรือว่าคนที่เสียผลประโยชน์จะยอม

ทุกวันนี้นักการเมืองกับนายทุนอาศัยตัณหาความอยากของเราเป็นเครื่องมือเป็นเงื่อนไข จูงใจให้มวลชนเคลื่อนไหวเพื่อผลประโยชน์ตนทั้งนั้น ก็ถ้าเรา "พอ" เสียอย่าง เอาอะไรมาล่อเราก็ไม่สนใจอยู่แล้วครับจริงไหม

แล้วเงื่อนไขสำหรับมวลชนนั้นคืออะไรบ้าง?

เงื่อนไขทั้งหลายนั้นก็คือเงื่อนไขในการต่อรองอาทิเช่น ความเป็นอยู่ มาตรฐานการดำรงชีพ สวัสดิการ ผลประโยชน์ทั้งหลายที่นักการเมืองหรือนายทุนสัญญาจะให้ ชีวิตที่ดีกว่า ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นเงื่อนไขขึ้นมาได้ก็เพราะเราไม่รู้จักพอไปเสียเองด้วยนั่นแหละ

หลักเศรษฐกิจพอเพียงนั้น โดยความเป็นจริงก็คือของแสลงของระบบทุน แต่มันเป็นยาแก้พิษที่ในหลวงทรงมอบให้ประชาชนและชาวโลก เป็นกุญแจไปสู่อิสรภาพจากการกดขี่ยุคใหม่ที่มาจากระบบทุน เป็นยาฆ่าเชื้อที่จะล้างเชื้อโรคพิษร้ายในระบบธุรกิจการเมืองจนสิ้นไปเองโดยไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อ เพียงแต่คนไทยไม่เข้าใจสิ่งที่พระองค์ท่านจะสื่อ มีแต่เพียงส่วนน้อยในภาคประชาชนเท่านั้นที่กำลังขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจพอเพียงอยู่อย่างแข็งขัน นี่คือเหตุผลทั้งหมดที่ทำให้ลึกๆแล้วนักการเมืองและนายทุนทั้งไทยและเทศต่างก็ไม่ยอมรับหลักเศรษฐกิจพอเพียง แต่ไม่แสดงออกเพราะความรักที่ประชาชนคนไทยมีต่อในหลวงนั้นท่วมท้นเกินกว่าที่เขาเหล่านั้นจะต้านกระแสได้

ลองนึกสิครับว่า หากวันหนึ่ง ระบบเศรษฐกิจพอเพียงเกิดแพร่หลายขึ้นมา เมื่อนั้นนักการเมืองทั้งหลายก็จะเริ่มหมดอำนาจลง เพราะประชาชนหมดเงื่อนไขให้บีบหรือให้ต่อรอง สามารถยืนอยู่บนขาตัวเองได้อย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรี มีความสุขโดยไม่ต้องให้ใครมาบอกว่าต้องสุขแบบไหนอย่างไร หรือซื้อของอะไรแล้วจะมีความสุข แล้วก็ไม่ต้องคอยเลียแข้งเลียขาใครเพื่อให้ได้ผลประโยชน์อีก ทั้งหมดนี้จะส่งผลให้มูลค่าทางเศรษฐกิจที่ถูกปั่นกันจนพองโตใกล้แตกเต็มที่นั้นหดตัวลงอย่างมาก เพราะขนาดของเศรษฐกิจในปัจจุบันนั้นสร้างขึ้นจากอุปสงค์ลวงที่หลอกเอาเงินจากกระเป๋าเราไปปั่นเป็นตัวเลข GDP โชว์ให้ฝรั่งเข้ามาสูบเลือดคนไทยอีกต่อหนึ่ง

สุดท้ายถ้าเศรษฐกิจพอเพียงถูกนำไปใช้ทั่วประเทศ มันก็จะเหลือเพียงแต่อุปสงค์จริงที่ไม่ได้ต้องการอะไรมากมายเกินความจำเป็นอย่างในปัจจุบันเลย และจะส่งผลให้ระบบคนกลางที่เอาเปรียบและคอยกินแต่หัวคิวล่มสลายลง ระบบค้าปลีกหดตัวลง ธุรกิจที่หากินกับความฟุ้งฝันก็จะหดตัวลง ขนาดของเศรษฐกิจก็จะเป็นไปตามความจริง ไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ต่างชาติก็จะหนีตีจากเราไปเพราะเราเลิกให้เขาสูบเลือดสูบเนื้อ แล้วเราก็จะเริ่มกลับมาเป็นผู้เป็นคนมากขึ้นหลังจากที่ถูกปั่นหัวจนกลายเป็นซอมบี้ที่หิวกระหายด้วยความอยากของตนในการที่จะสนองตอบต่ออุปทานในสินค้าจำนวนมหาศาลที่ถูกผลิตขึ้นอย่างเกินความจำเป็น เอ้อ คราวนี้ก็จะได้ลดโลกร้อน ลดขยะ ลดมลพิษจริงๆเสียที ไม่ต้องไปจัดอีเวนต์อะไรให้ยุ่งยากอีกแล้ว(ฮา)

แต่ทั้งหมดนี้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะถ้าขืนเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป ระบบเศรษฐกิจจะล่มสลาย และจะกระทบคนจำนวนมากที่ยังไม่ได้ปรับตัวรองรับสถานการณ์ ประการสำคัญคือนักการเมืองและนายทุนทั้งหลายไม่ยอมแน่ๆที่จะให้เรามีความสุขจากความพอเพียง ไม่งั้นเราก็จะเลิกเชื่อถือเขาและไม่ซื้อของที่เกินจำเป็นอีกต่อไป

ไม่เป็นไรครับ วันนี้เราเปิดความจริงให้รู้กันแล้ว จากนี้ไปก็ช่วยกันแชร์เนื้อหาความจริงนี้กันต่อๆไป เพื่อเปิดปัญญาให้แจ้ง จะได้เลิกเป็นทาสทางเศรษฐกิจกันเสียที

No comments:

Post a Comment