Friday, March 22, 2013

เมืองมายา มายาเมือง

เห็นสวยๆอย่างนี้มันก็แค่โชว์น่ะนะ กินก็ไม่ได้
เมื่อพูดถึงคำว่าเมือง ทุกคนก็จะคิดถึงภาพของตึกรามบ้านช่อง รถรามากมาย ความสะดวกสบายหรูหรา และนึกเอาว่าเป็นเมืองแห่งโอกาส ที่ผู้คนแต่งตัวสวยๆ ออกจากบ้านไปทำงานสบายๆ มีเงินใช้ มีรถขับ มีบ้านหรูๆอยู่ มีมาตรฐานในการดำรงชีวิตสูง ทำงานห้องแอร์เย็นฉ่ำ ขนาดออกกำลังกายก็ยังอยู่ในห้องแอร์ ไม่ต้องตากแดดตากฝนเหมือนเกษตรกร

ภาพแห่งความเป็นเมืองที่กลายเป็นมาตรฐานชึวิตที่ทุกคนใฝ่ฝันและกระเสือกกระสนดิ้นรนหานั้น เป็นภาพลวงสื่อนำเสนอออกไปเพื่อที่จะขายของ เพื่อที่จะกระตุ้นกำลังซื้อ เพื่อที่จะให้ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายได้กระเสือกกระสนไปให้ถึงมาตรฐานที่ได้จัดตั้งขึ้น และมาตรฐานเหล่านี้จะสูงขึ้นเรื่อยๆ นัยว่าสร้างมาตรฐานใหม่ให้สูงๆเข้าไว้ เพื่อให้ทุกคนดิ้นรนแสวงหา สินค้าต่างๆก็จะได้ทำยอดขายได้ กอบโกยได้เยอะๆ โดยไม่ได้สนใจว่า ใครจะต้องเป็นหนี้ ใครที่วิ่งตามไม่ทัน หรือขยะจากสินค้าเก่ามันจะล้นโลกเร็วแค่ไหนกับสิ่งฟุ่มเฟือยต่างๆที่ประกอบฉากขึ้นเป็นเมืองๆหนึ่ง

ภาพของเมืองที่สวยหรู จึงกลายเป็นต้นทุนที่คนเมืองต้องแบกโดยไม่รู้เท่าทันผู้ผลิตสินค้าและนักโฆษณาประชาสัมพันธ์ ตลอดจนถึงนักการเมืองทั้งหลายที่ผลัดกันเข้ามา"กินเมือง" ตามวาระกรรม ภาพมายาแห่งเมืองจึงเกิดจากการอุปโลกน์ชี้นำโดยกลุ่มคนที่เป็นชนชั้นนำของประเทศทั้งนั้น และไปดูได้เลยว่าตึกรามร้านค้าทั้งหลายที่ว่าดูสวยๆนั้น มันไม่ใชทรัพย์สินของคนส่วนใหญ่ของประเทศเสียด้วยซ้ำ ภาพเหล่านี้หลอกหลอนเรามาเนิ่นนามจนในที่สุด คนที่เกิดและเติบโตในระบบทุนนิยมก็นึกภาพชีวิตของตนเป็นอย่างอื่นไปไม่ออก กลายเป็นการผูกขาดค่านิยม รสนิยม แบบสำเร็จรูป จนคนเมืองที่หลงคิดว่าตัวเองมีอัตตลักษณ์ โดยหลงลืมไปว่าอัตตลักษณ์ทั้งหลายที่ตนมีอยู่นั้น ก็เกิดจากยี่ห้อสินค้าต่างๆอุปโลกน์ให้สร้างให้ว่าดีว่าหรูหรานั่นเอง

ทั้งหมดนี้ แม้จะทำให้คนเมืองดูดีจากภายนอกจริง แต่ภายในนั้นดัดจริตและทุกข์เหมือนคนอื่นๆที่ยืนอยู่บนส่วนอื่นของโลก ทุกสิ่งทุกอย่างแห่งความเป็นเมือง ดูดีแต่ในใจมันก็ขัดแย้งกันเหลือเกิน เพราะวิถีเมืองมันก็คือการทำทุกอย่างให้มันยุ่งยากซับซ้อนขึ้น เพื่อตอบสนองภาพลักษณ์ที่หรูหรามีระดับแบบเปลือกๆ จนความเรียบง่ายแท้ๆกลายเป็นเรื่องน่ารังเกียจไป ขนาดความเรียบง่ายก็ยังถูกทำให้ดัดจริตมีสไตล์โดยไฮโซหรือคนบางคนเลย

ที่ต้องบอกว่าคนเมืองนั้นดัดจริตและขัดแย้งในตัวเองมากๆ(แถมอ่อนแอ่ต่อการพึ่งตนเองสุดๆ) ก็เพราะ ลึกๆแล้วก็อยากจะพัก อยากจะมีชีวิตที่เรียบง่าย แต่ในความเป็นจริง ตัวเองก็เสพติดความสะดวกสบาย ซึ่งต้องอาศัยเงินเป็นสื่อเพื่อที่จะให้ได้มซึ่งความสะดวกสบายนั้น เพราะทำอย่างอื่นไม่เป็นนอกจากทำงานตามวิชาชีพที่เรียนมาให้กับระบบทุนแลกเงินไปวันๆ ชนิดที่ว่าเวลาไปในถิ่นทุรกันดารที แล้วเห็นร้านสะดวกซื้อก็จะตรงรี่เข้าไปหาซื้อของกินของใช้ที่ตนคุ้นเคย เหมือนได้ขึ้นสวรรค์ โดยไม่รู้ว่า ผืนดินที่ตนยืนอยู่นั้นก็ให้อาหารเหมือนกัน แถมเป็นอาหารที่มีคุณภาพดีกว่าด้วยซ้ำไป

เอาง่ายๆครับ เวลาอยากจะดื่มน้ำมะนาว คนเมืองเขาก็จะไปหาร้านที่บรรยากาศดีๆนั่งชิลๆ ก้มหน้าเล่นอินเตอร์เน็ต สั่งน้ำมะนาวแก้วละร้อยสองร้อยมาดื่ม แทนที่จะเดินไปตลาดใกล้บ้านซื้อมะนาวมา 2-3 ลูกเพื่อคั้นชงดื่มเอง เสียเงินแค่ 20 บาท นี่แหละคือการเสพติดภาพมายาแห่งความหรุหราที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นเป็นมาตรฐานชีวิตใหม่ของคนเมือง

ถามครับว่ามีกี่คนที่มีบ้านหรูหราเหมือนกับหลุดออกมาจากหนังสือตกแต่งบ้าน?

จำนวนคนที่ว่านี้ เชื่อได้เลยว่าน้อยกว่า 5% ของจำนวนประชากรทั้งหมด แต่ไอ้วิถีชีวิตของคน 5% นี่แหละที่ทำให้ผู้คนทั้งหมดหลงเข้าใจผิดเรื่องชีวิตที่สะดวกสบายในเมือง จริงๆจะบอกให้เลยว่าคนที่มีบ้านหรูๆสวยๆเขาก็ได้แค่นั้นล่ะครับ แต่ก็ยังหนีทุกข์ไม่พ้นเหมือนเดิม เพียงแต่เงื่อนไขของทุกข์จะแตกต่างจากคนอื่นเท่านั้นเอง บางคนทุกข์มันพิสดารมากขึ้นด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้นพระพุทธเจ้าท่านคงบอกให้เรามีบ้านหรูๆและติดแอร์เข้าไปจะได้พ้นทุกข์แล้วล่ะครับ จริงไหม

ที่ว่ามาทั้งหมดนี้ก็ต้องการให้เข้าใจตรงต่อความเป็นจริงว่า ความมั่งคั่งที่แท้จริงนั้น ไม่ใช่การมีเงินฝากในบัญชีเป็นล้านๆ หรือมีบ้านหรูหราอยู่สบาย แต่ต้องติดตั้งอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยเต็มรูปแบบ และต้องนอนก่ายหน้าผากกังวลนั่นนี่อยู่ตลอดเวลาแม้จะอยุ่อาศัยในหมู่บ้านสุดหรูไฮเทคไฮโซก็ตาม แบบนั้นมันก็เป็นแค่ค่านิยมเบี้ยวๆที่แห่ตามกันไปโดยวิถีของปศุสัตว์เมืองใหญ่เท่านั้น ซึ่งผลลัพธ์ของมันก็ได้แค่ทำให้ผู้คนเหล่านั้น ขึ้นไปติดอยู่บน "หิ้ง" แห่งภาพมายาแล้วก็ลงมาไม่ได้ ถอยกลับก็ไม่ได้เพราะกลัวเปื้อนดิน กลัวการที่จะต้องกลับมายังจุดเดิม กลัวในสิ่งที่ตนเองคิดเอาเอง เรียกว่าเสียนิสัยกันไปแล้วนั่นเอง

ความมั่งคั่งที่แท้จริงนั้นเรียบง่ายมาก และไม่ต้องให้ใครมานิยามให้แม้แต่น้อย เพราะมันก็จะเอาแต่ขายของนั่นแหละ ความมั่งคั่งจริงๆ ก็แค่เพียงแค่มีข้าวปลาอาหารกิน 3 มื้อต่อวัน มีปัจจัยสี่สามารถหาเองได้ในผืนดินของตน โดยที่ไม่ต้องคอยกังวลว่า พรุ่งนี้น้ำมันจะขึ้นราคาอีกหรือเปล่า รถจะติดไหม จะมีเงินส่งประกันชีวิตหรือไม่ แค่นี้ชีวิตก็บริบูรณ์อยู่แล้ว เรียบง่ายสงบงามอยู่แล้วโดยตัวมันเอง ส่วนภาพของคนเมืองที่มีเงินไปซื้อแท็ปเล็ตหรือสมาร์ทโฟนให้ตัวเองได้ก้มหน้าก้มตาเขี่ยจอจนคอเคล็ด นิ้วล็อคนั้นมันก็คือความฟุ่มเฟือยส่วนเกินที่นำพาทุกข์อย่างใหม่ๆมาให้ในที่สุด

มายาการแห่งความหรูหราของความเป็นเมืองนั้น มีต้นทุนอยุ่ครับและเป็นต้นทุนที่สูงขนาดที่กำลังทำลายสภาพแวดล้อมทั่วโลกอย่างน่ากลัว ทุกฝ่ายก็พยายามซ่อนต้นทุนอัปลักษณ์นั้นกันอย่างสุดฤทธิ์ แถมต้นทุนหลายๆอย่างในจำนวนนั้น ก็รวมถึงความยุ่งยาก ความทุกข์อย่างใหม่ๆ และความไม่แน่นอนของชีวิตด้วยเช่นกัน เรียกว่าขึ้นหิ้งแล้วลงไม่ได้เพราะคนข้างล่างเขาชื่นชมอยู่ ตัวเองก็ได้แต่หน้าซีดปีนขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะคนส่วนใหญ่เขาหลงเชื่อและทำกันไปตามนั้น ซึ่งถามว่าคนเมืองต้องการไหม เชื่อได้เลยว่าต้นทุนเหล่านี้ไม่มีใครต้องการแบกเอาไว้แน่ๆ มันก็เลยออกมาในรูปแบบของขยะล้นเมือง น้ำเสียท่วมเมือง อาชญกรรม รถติดอย่างบ้าคลั่ง และอะไรๆที่เสียๆก็จะตามมาอีกมากมาย

แต่ในเมื่อคนส่วนใหญ่ยังมีโลกทัศน์ที่คับแคบอยู่กับค่านิยมสำเร็จรูปที่มีคนอุปโลกน์ให้แบบนี้ หรือที่สอนกันในระบบการศึกษา และสมยอมให้ตัวเองติดกับดักค่านิยมความเป็นเมืองที่มันขัดแย้งกับความเป็นชีวิตอยู่อย่างนี้ ก็คงต้องรอให้เงื่อนไขแห่งการล่มสลายสุกงอมก่อนถึงจะรู้สึกได้เองครับ

No comments:

Post a Comment