Wednesday, June 5, 2013

ระบบทุนนิยมกับธรรมชาติเดิมของมนุษย์

เหตุที่การพัฒนาทำให้ทุกข์มากขึ้น ก็เพราะมันเป็นไปเพื่อการขายสินค้าเท่านั้น
ผมขอเริ่มต้นด้วยคำถามที่ว่า

ระบบเศรษฐกิจหรือมนุษย์เกิดมีมาก่อนกัน?

คงจะได้คำตอบในใจกันไปแล้วนะครับว่าอะไรเกิดก่อน ที่ต้องอ้างอิงถึงขนาดนี้ก็เพราะว่า จริงๆแล้วมนุษย์เราก็คือธรรมชาติอย่างหนึ่ง ไม่ต่างอะไรกับต้นไม้ ภูเขา น้ำทะเล สิงสาราสัตว์ทั้งหลายที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบโดยรวมที่เรียกว่าธรรมชาติเหมือนกัน แต่ระบบเศรษฐกิจทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนสิ่งของ มาจนถึงการใช้ระบบเงิน ระบบเครดิตอย่างในทุกวันนี้ ถือได้ว่ามาทีหลังความเป็นธรรมชาติเดิมแท้ของมนุษย์อย่างแน่นอน

ธรรมชาติเดิมของมนุษย์นั้นก็เหมือนธรรมชาติทั้งหลายที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปตามฤดูกาล ตามวันเวลาที่ถูกกำหนดโดยการขึ้นและตกของดวงอาทิตย์ น้ำขึ้นน้ำลง ข้างขึ้นข้างแรม และสภาพภูมิอากาศสภาพภูมิประเทศในแต่ละท้องถิ่น บรรพบุรุษเราเคยใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุขตามธรรมชาติ ไม่มีข้อผูกมัด ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีภาระให้ต้องยุ่งยากคับแค้นดังเช่นทุกวันนี้ ก็แค่ใช้ชีวิตไปจะทำให้มันยากทำไม

นับตั้งแต่มีระบบทุนนิยมเกิดขึ้นมาบนโลก จวบจนกระทั่งระบอบสังคมนิยมอันเป็นคู่แข่งสำคัญของทุนนิยมล่มสลายไปเพราะความโลภโมโทสันของผู้นำ ถึงวันนี้วันที่ทุนนิยมกำลังครองโลกทั้งใบ แม้กระทั่งประเทศที่เคยใช้ระบอบสังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์ก็ยังทานกระแสความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้ แต่ที่สุดแล้วมนุษย์ก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่ที่เปลี่ยนไปก็คือมนุษย์เลิกฝากชีวิตเอาไว้กับธรรมชาติ ตัดขาดจากธรรมชาติแล้วหันมาฝากชีวิตไว้กับแนวทางสังเคราะห์จากฝีมือตัวเองแทน

แล้วอะไรที่เกิดขึ้นหลังจากมนุษย์ตัดขาดจากธรรมชาติ ที่เคยให้ชีวิตอันอุดมสมบูรณ์ไปสู่สังคมสังเคราะห์ สังคมเคมี สังคมดัดจริตเช่นในวันนี้แทน?

สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ มนุษย์มีความเป็นอยู่ราวกับเทวดานางฟ้า ได้แต่งตัวสวยๆ หน้า-นม-ผม เด้งเป็นพิมพ์เดียวกัน มีรถดีๆขับ มีบ้านหลังโตๆอยู่ มีมือถือดีๆใช้ มีเกียรติมีหน้าตาในสังคม มีเวลานั่งหมกมุ่นอยู่กับหน้าจอทุกชนิดจนถึงขนาดที่ว่ามีคนตายเพราะเล่นเกมมาแล้ว

แต่ในทางกลับกัน มนุษย์ก็มีต้นทุนที่ต้องแลกเป็นความบีบคั้นทางเศรษฐกิจมาทดแทน มีความตึงเครียดจากเงื่อนไขต่างๆ ภาระผูกพันต่างๆมากมายที่ควรจะอยู่ในมือของธรรมชาติ ความสามารถในการพึ่งพาตนเองในการผลิตอาหารหมดไป ต้องทำงานวันละ 8-10 ชั่วโมง ต้องอยู่บนรถที่ติดหนึบวันละ 3-4 ชั่วโมง พอมีเวลาว่างทุกคนก็จะก้มหน้าเช็คดูข้อความในเฟสบุ๊คบ้าง ในไลน์บ้าง แทนที่จะแหงนหน้ามองท้องฟ้ากว้างๆสีครามแล้วออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์(ที่หาแทบไม่ได้แล้วในตัวเมือง)เพื่อเป็นการผ่อนคลายจากความหมกมุ่นที่กลืนกินแทบจะทั้งชีวิต

และแทนที่จะมีความสุขเพิ่มขึ้นกลับต้องอารมณ์แปรปรวนไปตามทิฏฐิผู้คนที่โพสต์ข้อความและสื่อต่างๆลงในโซเชียลเน็ตเวิร์คอีก แถมพอเงยหน้าขึ้นมาพันธะภาระผูกพันทั้งหลายก็กลับมาหลอกหลอนเหมือนเดิม บางคนหยุดพักผ่อนแค่วันเดียวก็ยังมีคนโทรศัพท์ถามงานอยู่เรื่อยๆจนเหมือนไม่ได้พัก ทุกอย่างเป็นจังหวะแบบนี้ซ้ำๆไปจนกว่าจะหมดแรงทำ หรือไม่ก็ป่วย ตาย พิการ จนตกมาตรฐานของระบบทุน ไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไป

ถามว่าชีวิตหนึ่งที่เกิดมานี่ จะอยู่ได้หรือไม่ได้นี่มันจะต้องขึ้นอยู่กับว่าใครต้องการเราด้วยหรือครับ? นี่ตกลงเราเป็นวัตถุสิ่งของหรือมนุษย์ที่เกิดมาบนโลกด้วยสิทธิที่เท่าเทียมกันแน่?

สองภาพนี้ต่างกันตรงที่เราถูกกำกับให้คิดว่าเรามีอิสรภาพเท่านั้นเอง
ชีวิตของคนที่อยู่ในระบบ 9-5 (คือเข้างานเช้าออกเย็น ไม่ว่าจะเป็นนายจ้างหรือลูกจ้างก็ตาม)นั้นจริงๆก็ไม่ต่างกับทาสดีๆนี่เอง มีวันลาจำกัด มีเส้นตาย มีความคาดหวัง มีคาดโทษ มีการเอารัดเอาเปรียบทุกรูปแบบ มีการจำกัดสิทธิ์ต่างๆโดยมีข้อแลกเปลี่ยนกับการได้สิทธิ์บางอย่าง ต้องอยู่โยงเพื่อเฝ้าความเป็นความอยู่ของตัวเองไปไหนไม่ได้ พอมีลูกมีหลานก็กลายเป็นตัวประกันของระบบทุน ต้องส่งเสียให้เรียนเพื่อออกมาเป็นทาสเหมือนพ่อแม่ อย่างนี้เรียกว่ามีสิทธิ์ในความเป็นมนุษย์ไหม? นี่มันผิดธรรมชาติกันไปหมดแล้ว

ทุกวันนี้ธรรมชาติกลายเป็นสิ่งที่ทุกคนโหยหา แต่ความรู้สึกผิดต่อหน้าที่ ต่อความรับผิดชอบ ต่อหลายๆสิ่งหลายๆที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นในระบบทุน เป็นเหมือนโซ่ล่าม ที่เปลี่ยนสถานะให้ธรรมชาติเป็นเพียงการพักผ่อนหย่อนใจชั่วคราวแทน ก่อนที่จะกลับไปใช้ชีวิตทาสเหมือนเดิมๆจนแก่ จนตายในที่สุด

แล้วในยุคสมัยที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้าที่สุดนี้เอง ก็ทำให้เรามีโรคเพิ่มขึ้นมาอีกมากมายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่ว่าจะโรคเครียด โรคจิตหลายชนิด โรคเบาหวาน ความดัน หัวใจ โรคเส้นเลือดตีบ โรคตับ โรคไต โรคอ้วน โรคผอมเกินขนาด โรคกระเพาะ โรคเอดส์ โรคอัลไซเมอร์(ความจำเสื่อม) โรคพาร์กินสัน โรคอีกสารพัดโรคที่ไม่เคยมีใครเป็นมาก่อนในอดีตก็มาอุบัติในยุคเรานี่แหละ แปลกดีที่อัตราการเสียชีวิตของมนุษย์ลดลงในขณะที่เราทุกข์กันมากขึ้น เหมือนจะให้อยู่ทรมานนานๆ

ทั้งหมดนี้ก็เพราะระบบทุนนิยมที่ดำเนินไปและเป็นอยู่ทุกวันนี้ มันไม่ได้ถูกออกแบบให้เหมาะกับธรรมชาติเดิมแท้ของมนุษย์  ธรรมชาติที่ต้องขยับเคลื่อนไหวตลอดเวลา ไม่ใช่มานั่งแช่อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์จนเจ็บป่วย เราถูกออกแบบมาให้ออกเหงื่อเพื่อจะได้ขับพิษและของเสีย ไม่ใช่ไปนั่งแช่นอนแช่ในห้องแอร์จนอ่อนแอปวกเปียก เราถูกออกแบบมาเพื่อกินอาหารที่มาจากธรรมชาติ ไม่ปรุงแต่งมากมาย ไม่ใช่มากินอาหารแปรรูปหรืออาหารกึ่งสำเร็จรูปที่มีแต่รสชาดของเคมีและสารพิษเต็มไปหมด เราไม่ได้ถูกออกแบบมาให้แบกความกังวลว่าเงินจะไม่พอใช้เพราะสิทธิในโลกใบนี้เป็นของมนุษย์โดยเท่าเทียมกัน แต่มันก็มีแค่คนส่วนน้อยที่มีอำนาจขึ้นมาและจัดสรรทรัพยากรต่างๆอย่างไม่เป็นธรรม จนเกิดเป็นความแตกต่างของสถานะทางเศรษฐกิจขึ้นมา

ระบบทุนนิยมนั้นถูกออกแบบให้แสวงหาแต่ความมั่งคั่งและกำไรสูงสุด(เพื่อประโยชน์ของคนกลุ่มน้อย) รีดความสามารถและหยาดเหงื่อของมนุษย์ออกมาให้มากที่สุดผ่านการทำงานหนัก ด้วยค่าแรงที่ต่ำที่สุด แม้ว่าเราจะกินข้าวแค่วันละ 3 มื้อเหมือนในอดีตไม่เคยเปลี่ยนก็ตามที แต่เรากลับต้องทำงานหนักขึ้นเรื่อยๆ เพื่ออะไร? ทุกวันนี้เราจึงได้แต่วิ่งไล่ตามคุณค่าจอมปลอมที่หลงไปยกย่องกัน คุณค่าที่มันหลอกลวงเราได้ถึงขนาดที่ทำให้เรารู้สึกภาคภูมิใจกับความเหนื่อยยากชนิดแทบจะตายแทนได้เพื่อคนที่กดขี่เรา หรือแม้กระทั่งทำให้เรารู้สึกภูมิใจในการแบกภาระต่างๆเกินกว่าที่ธรรมชาติของมนุษย์จะรับได้ ไปจนถึงความภูมิใจกับการจับจ่ายใช้สอยสิ่งของราคาแพงๆกับคุณค่าหลอกขาย และตีตราให้เราเป็นเครื่องปั๊มเงินที่เรียกว่าผู้บริโภค

ลึกๆแล้วเราก็รู้สึกขัดแย้งในตัวเอง เกิดความอึดอัดขัดเคือง แร้นแค้นในใจ เจ็บไข้ได้ป่วยและไม่มีความสุข จนทำให้ธุรกิจเกี่ยวกับการนำเสนอความสุข เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งก็ยิ่งทำให้มนุษย์หลงในมายาคติอันเกิดจากระบบทุนนิยมมากยิ่งขึ้น กลายเป็นวงจรอุบาทว์ที่น้อยคนนักจะหลุดพ้นจากตรงนี้ได้ หากไม่ได้รับรู้ความจริงและมีความกล้าหาญมากพอที่จะออกจากระบบ

ปัญหาต่างๆที่เรามีเราเป็นอยู่ทุกวันนี้ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือของมนุษย์เราทำกันเองทั้งนั้น ทำเพื่อระบบแต่ขัดแย้งกับธรรมชาติของเราเอง เราฝากชีวิตเอาไว้กับตัวเอง ฝากชีวิตไว้กับระบบที่มันฝืนธรรมชาติเดิม มันก็เลยเกิดปัญหาติดขัด อึดอัดขัดเคือง เจ็บไข้ได้ป่วยเพราะมันไม่ไหลเวียนหมุนเวียนไปตามธรรชาติ อาหารการกินที่มีแต่สารเคมีมากมายเพราะมนุษย์แย่งหน้าที่จากธรรมชาติมาทำเอง ทำให้เราเจ็บป่วยมากขึ้น การนอนที่ผิดเวลาไปจากธรรมชาติของกลางวันกลางคืนก็ทำให้เราเจ็บป่วยซ้ำเติมลงไปโดยไม่รู้ตัว

และโดยธรรมชาติเดิมแท้ของมนุษย์ที่ทุกคนหลงลืมหรือทำเป็นไม่สนใจนี้เอง ทำให้ปฏิเสธไม่ได้ว่าการพัฒนาที่ผิดธรรมชาติเหล่านี้ ทำให้การแก้ปัญหาต่างๆในระบบทุนนิยมหรือแม้กระทั่งทุกปัญหาในโลกนี้ ล้วนไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุจริงๆ เป็นเพียงการแก้ปัญหาเพื่อให้"ระบบ"เดินต่อไปได้เท่านั้น เป็นการแก้ปัญหาที่สนองตอบต่อนายทุนรายใหญ่ๆเท่านั้น มนุษย์ส่วนใหญ่ก็ทุกข์เหมือนเดิม หรือทุกข์มากยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำไป

การแก้ปัญหาของนักเศรษฐศาสตร์ นักการเมืองหรือผู้ปกครองบ้านเมืองเกือบทุกประเทศในโลกนี้ล้วนเป็นไปเพื่อความมั่งคั่งของคนระดับบนของสังคมทั้งนั้น ไม่ได้เป็นไปเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับพื้นฐานของชีวิตจริงๆแต่อย่างใด

ยกเว้นว่ามีคนไทยคนหนึ่งที่ทำงานเพื่อ"พัฒนา"สิ่งต่างๆให้สอดคล้องกับพื้นฐานความเป็นมนุษย์ โดยอ้างอิงธรรมชาติเดิมของมนุษย์ เพื่อความสงบสุขร่มเย็นของคนหมู่มากอย่างแท้จริง"โดยไม่คิดมูลค่า" และท่านทำมาตลอดหลายสิบปี โดยที่ไม่เคยยัดเยียดการพัฒนาที่ผิดไปจากธรรมชาติเดิมของมนุษย์ให้กับคนไทยเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่คนไทยส่วนใหญ่ก็ยังไม่เห็นและไม่เข้าใจท่าน คนไทยที่ผมอ้างอิงถึงนี้ก็คือ ในหลวงของเรานั่นเองครับ

ใครที่เคยว่าพระองค์ท่านว่าพัฒนาล้าหลังเป็นเทคโนโลยีหลังเขาที่สู้ต่างชาติไม่ได้ก็เข้าใจใหม่เสียด้วยนะครับว่า ไอ้พวกต่างชาติน่ะมันพัฒนาเพื่อหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองทั้งนั้น ไม่เชื่อรอเศรษฐกิจล่มสิ จะคอยดูว่าไอ้สมาร์ทโฟนที่ว่าเจ๋งๆ พัฒนากันจัดๆน่ะมันปลูกข้าวกินได้ไหม พระองค์ท่านมองข้ามช็อตเห็นเนื้อแท้ของพวกต่างชาติมาตั้งหลายสิบปีแล้ว

ถึงวันนี้ที่ระบบทุนได้ก้าวเข้าสู่ความสามานย์เต็มรูปแบบ ความล่มสลายของทุนนิยมเริ่มเห็นได้ชัดผ่านสื่อต่างๆ แถมเกิดขึ้นทั่วโลก ก็คงจะถึงเวลาแล้วที่เราจะเลิกพัฒนาตามโลก ตามเทคโนโลยีของต่างชาติ ตามนวัตกรรมใหม่ๆที่ไม่ได้อิงพื้นฐานแห่งธรรมชาติของมนุษย์เลยแม้แต่น้อย เพื่อลดเหตุแห่งความทุกข์ในปัจจุบันลงเสีย เรียนรู้ความจริงที่มันพ้นไปจากมายาหลอกลวงของสื่อทั้งหลายที่ครอบเราอยู่

โชคดีที่ปัจจุบันได้มีคนหลายกลุ่ม เริ่มฟื้นฟูภูมิปัญญาดั้งเดิมของบรรพบุรุษไทย นำมาผสมผสานกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และการพัฒนาที่สอดคล้องกับธรรมชาติเดิมของผู้คนในท้องถิ่น จนแน่ใจได้แล้วว่า องค์ความรู้ทั้งหมดที่มี จะทำให้เราสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาอาศัยเทคโนโลยีสมัยใหม่มากเกินความจำขั้นเป็นพื้นฐานเลย

No comments:

Post a Comment