Tuesday, August 7, 2012

ภัยสี่ด้านในบ้านคุณ 3

จากเรื่องชวนขนลุกเกี่ยวกับอาหารและระบบสาธารณสุขพื้นฐาน ก็มาต่อที่เรื่องของอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเราจะพูดกันถึงเรื่อง "บ้าน" เป็นหลัก เพราะถือว่าเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่สำคัญกับชีวิต แต่ทุกวันนี้ "บ้าน" มาพร้อมกับระบบหนี้ทาส เนื่องจากราคาบ้านและที่ดินถีบตัวสูงขึ้นจนคนระดับล่างๆได้แต่มองตาปริบๆ หรือถ้าจะกระโจนใส่มัน ก็จะต้องตกเป็นทาสไปตลอดชีวิต

เมื่อ 6-7 ปีก่อน(อ้างอิงจากปี 2555 ย้อนหลังไป) ผมเคยไปดูบ้านเดี่ยวชานเมือง ฝันว่าอยากจะมีบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ มีที่เอาไว้ปลูกสวนสวยๆ ก็เลยขับไปดูทำเลที่สนใจ เมื่อก่อนนั้นบ้านเดี่ยวราคายังไม่แพงมากครับระดับกลางๆก็แค่ 2.5-4 ล้าน ถ้าหรูหน่อยก็ 5-6 ล้าน แต่พอมา ณ ปัจจุบัน เงิน 2.5-4 ล้านซื้อได้แค่ห้องคอนโดเล็กๆ ส่วนเงิน 5-6 ล้านก็ซื้อได้เพียง บ้านเดี่ยวหลังเล็กๆเท่าแมวดิ้นตาย แถมออกไปไกลจากตัวเมืองมากๆ

ที่ผมไม่ซื้อบ้านเดี่ยวตอนนั้นก็เพราะ พิจารณาดูแล้วว่าอาจจะตายเพราะค่าน้ำมันรถเสียก่อน คิดดูนะครับว่าถ้าซื้อบ้านเดี่ยวชานเมือง ผมจะต้องซื้อรถของตัวเองอีกคันหนึ่ง ต้องจ่ายค่าน้ำมันอีกเป็นหมื่น ก็ต้องทำงานหนักหาเงินมาผ่อนทั้งบ้านและรถ พอทำงานหนักขึ้น บ้านก็ไม่ใช่บ้านแล้วครับ กลับบ้านดึกก็เอาไว้ซุกหัวนอนอย่างเดียว กลายเป็นที่ซุกหัวนอนของทาส เป็นทาสในเรือนเบี้ยยุคใหม่ ที่เข้านอนด้วยความกังวลมากมาย ตั้งแต่เรื่องความดิ้นรนทำมาหากินไปจนถึงเรื่องจิปาถะที่หาใส่ตัวเพื่อให้ได้ความสะดวกสบาย ขนาดพระอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้นก็ต้องขับรถออกมาติดนรกบนถนนอีก ซึ่งดูไปดูมามันตลกมากกับตรรกะคนเมืองที่พยายามทำชีวิตให้สมบูรณ์แบบ แต่ต้องแลกมาด้วยภาระทาสที่ต้องแบกไปอีกตลอดชีวิต

พิจารณาดูสิครับว่าราคาบ้านทุกวันนี้ ในระดับราคาที่เห็นกันอยู่นี้ คนชั้นกลางไปจนถึงระดับล่างก็หมดสิทธิ์จะอยู่พื้นราบล่ะครับ ต้องหนีขึ้นคอนโดอย่างเดียว แถมทุกวันนี้ห้องก็เริ่มเล็กลงเรื่อยๆ จนแทบจะเป็นรูหนูอยู่แล้ว และอีกไม่นาน ผมเชื่อว่า แม้แต่คอนโดเล็กๆก็เถอะ เชื่อได้ว่าคนส่วนใหญ่ก็จะไม่มีปัญญาซื้อครับ ได้แต่เช่าห้องอยู่ไปเดือนต่อเดือน ส่วนคนที่มีปัญญาซื้อบ้านก็ไม่ต้องไปอิจฉาเขาหรอกครับ เพราะเขาต้องติดสัญญาทาสไปตลอดชีวิต เรียกว่าผ่อนกันจนแก่หง่อมไปข้างหนึ่ง แบบนี้จะเรียกว่าความเจริญกันได้อีกไหมเล่าครับ

นี่แค่บ้านนะครับ ยังไม่นับรวมเฟอร์นิเจอร์และอะไรอีกหลายอย่างที่จะต้องหามาใส่ในบ้านในฝันของเรา ซึ่งสุดท้ายสิ่งต่างๆเหล่านั้นก็ดันทำให้เราเป็นทาสภาระหนี้ไปเสียอีก กลายเป็นอยู่เพื่อชำระหนี้ ไม่ได้อยู่ด้วยความสงบสุขในชีวิตอีกต่อไป

เดี๋ยวรอดูเถอะครับ เมื่อไหร่ก็ตามที่เปิดเสรีอาเซียนหรือ AEC สถานการณ์อสังหาริมทรัพย์สำหรับคนไทยจะยิ่งเลวร้ายลงมากกว่านี้อีก

จบเรื่องอสังหาริมทรัพย์ที่มาพร้อมกับภาระทาสแล้วมาว่าด้วย ปัจจัยสี่ข้อสุดท้ายดีกว่าครับ เรื่องเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งดูเหมือนจะไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่ แต่ผมขอรวมพวกมือถือ แท็ปเล็ต และอุปกรณ์ที่เรียกรวมๆว่า Gadget เข้าไปด้วยก็แล้วกัน

พอดีผมเองไม่เคยใส่เสื้อผ้าแบรนด์เนม (ผมจึงไม่ค่อยรู้จักแบรนด์เสื้อผ้าหรอก ถึงปลอมมาก็ไม่รู้ว่ามันปลอมจากยี่ห้ออะไร) ก็เลยไม่ค่อยรู้สึกเท่าไหร่ แต่เรื่องนี้มีผลโดยตรงต่อวัยรุ่น เพราะเป็นวัยที่แสวงหาตัวเอง พวกผู้ผลิตเสื้อผ้าก็เลยโฆษณาว่า นี่สิจะทำให้คุณดูคูล อะไรไปนั่น ว่าแล้ววัยรุ่นทั้งหลาย(หรือรวมที่ไม่วัยรุ่นด้วยก็ได้) ก็หาเสื้อผ้าแบรนด์เนมมาใส่ทั้งๆที่ยังหาเงินเองไม่ได้ ต้องเดือดร้อนพ่อแม่อีก (เห็นหรือยังว่ามันก็เป็นภัยที่เข้ามาทางประตูหลังเหมือนกัน)

คุณค่าของคนทุกวันนี้มันก็เลยถูกลากขึ้นไปตั้งเอาไว้บนหิ้งที่นักโฆษณาอุปโลกน์ขึ้นมา ว่าถ้าคุณแต่งตัวแบบนี้ มีมือถือแบบนี้ คุณขึ้นหิ้ง เป็นผู้นำเทรนด์ (ตามตูดเขาชัดๆยังจะว่านำเทรนด์อีก...ฮา) โดยหารู้ไม่ว่าคนที่ขึ้นหิ้งจริงๆ มันไม่สนเทรนด์นะจ๊ะ คือปลอดจากอิทธิพลทางความคิดใดๆ เป็นอิสระแท้จริง ไม่ให้ค่ากับอะไรเลยที่มีคนบอกว่าอันนี้ดี อันนี้เจ๋ง ส่วนไอ้พวกที่เอาแบรนด์เนมปะๆตัวเองเข้าไปน่ะ ถามจริงๆว่าคนเขามองที่ตัวคนหรือไปมองที่เสื้อผ้า เรื่องนี้ก็เหมือนจ้างพริตตี้มายืนขายรถนั่นแหละครับ ถึงที่สุดแล้วก็ได้แต่ลุ้นว่าน้องๆเขาจะทำอะไรหกเป็นบุญตาหรือเปล่า อิอิ

นอกจากเสื้อผ้าที่ผมคิดว่าเป็นเรื่องจิ๊บๆแล้ว ก็จะมีเรื่องมือถือ แท็ปเล็ต Gadget ทั้งหลายนั่นแหละที่หนักหนากว่า ไม่เชื่อลองไปขึ้นรถไฟฟ้าดูสักรอบสิครับ แล้วจะเห็นผู้คนมากมายที่ก้มหน้าก้มตาจิ้มๆเขี่ยๆมือถือ Smart phone ราวกับจะคุ้ยเขี่ยหาความสุขในชีวิตอยู่ตลอดเวลา จะเปลี่ยนมือถือรุ่นแล้วรุ่นเล่าก็ยังไม่เห็นว่าจะหาเจอสักที Smart กันซะจริงๆ

ดูนะครับว่า Smart phone สมัยนี้มันถูกๆซะที่ไหน แต่ละเครื่องล่อเข้าไปสองหมื่นกว่าๆ แถมบริการผ่อนสิบเดือนด้วยนะ เอากันง่ายๆแบบนี้แหละ แล้วมันก็ตกรุ่นเร็วมากๆจน ใครที่ใช้มือถือเกินสองปีกลายเป็นไดโนเสาร์กันง่ายๆเลยล่ะ(ถ้าเป็นแบบนี้จริง ผมก็น่าจะเข้าข่ายเป็นฟอสซิลแล้วล่ะ...ฮา)

บางคนถึงกับยอมเป็นหนี้เพื่อให้มีมือถือรุ่นล่าสุดมาถือ เด็กบางคนยอมอดมื้อกินมื้อเพื่อเก็บเงินซื้อมือถือด้วยซ้ำ ก็อยากจะบอกว่าถ้าใครมีมือถือที่สูงกว่าสถานะที่ตนจะมีได้นะ ข้อแรกเลยคือมันอันตราย อาจจะโดนนักเลงตบเอาไปได้ง่ายๆ หรือถ้าระวังตัวดีๆก็ต้องใช้แบบหลบๆซ่อนๆ ข้อสองคือ มันดูตลกครับ มันแสดงให้คนอื่นเห็นเลยว่า คุณใช้เงินเกินตัว และทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มือถือมาใช้

อีกเรื่องหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในปัจจัยสี่ แต่ก็แทบจะกลายเป็นปัจจัยที่ห้าไปแล้ว สิ่งนั้นก็คือ รถยนต์ นั่นเอง แต่เรื่องนี้ยาว เอาไปขยายกันได้อีกตอนหนึ่งก็แล้วกัน

เอาเป็นว่าที่สุดแล้ว ค่านิยมที่บิดเบี้ยวเหล่านี้ ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับผมหรอกครับ มันเป็นปัญหาของคุณเองทั้งนั้น เป็นสิ่งที่เหมือนจะแก้ปัญหาแต่จริงๆแล้วมันทำให้คุณแบกทุกข์โดยไม่รู้ตัว และที่ผมมาเขียนบทความให้คุณอ่านนี่ก็เพื่อที่จะเปิดสิ่งที่ปิดบังอยู่ให้คุณได้รู้ว่า ทั้งหมดมันเป็นเหตุแห่งทุกข์ของตัวคุณเองนั่นแหละ

ในความเป็นจริง ทุกวันนี้เราทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่ได้พาเราไปพบความสุขหรือสันติสุขของชีวิตเลยแม้แต่อย่างเดียว แต่เราก็คิดว่ามันจะพาเราไปถึงจุดนั้นได้ เราถูกหลอก ปิดบัง ล่อลวง อำพราง วางกับดักให้ไปสู่กระบวนการวิ่งรอกหาเงินเพื่อสนองอุปาทานของผู้ผลิตโดยความร่วมมือของนักโฆษณาและการประชาสัมพันธ์ที่หลอกลวงหรือพูดความจริงเพียงครึ่งเดียว ก็เขาจะล้วงกระเป๋าคุณน่ะจะให้พูดความจริงได้อย่างไรเล่า

ทั้งหมดนี้เป็นภัยสี่ด้านที่มาพร้อมปัจจัยสี่ ซึ่งดูเหมือนจะยังความสะดวกสบายให้กับชีวิตได้เต็มที่ตามที่คุณวาดหวังไว้...ตราบเท่าที่คุณยังคงหาเงินได้เพียงพอที่จะจ่าย และ...ไม่เซ็ง ไม่ซวย ไม่ป่วย ไม่ตาย ไม่พิการ ไม่ล้ม ไม่หยุดวิ่งไปเสียก่อน เงื่อนไขนิดเดียวเองครับสำหรับหาเงินซื้อข้าวกินวันละสามมื้อ จิ๊บๆเนอะว่าไหม..ฮา

ณ วันนี้ ระบบทุนนิยมได้ก้าวข้ามเส้นแบ่งทางจริยธรรมและศีลธรรมมาไกลแล้ว มันข้ามมาเพื่อทำทุกวิถีทางในการที่จะล้วงเงินคุณออกจากกระเป๋า แม้กระทั่งล่อลวงมันก็เอา..น่ากลัวหรือยัง และในวันที่เราดูเหมือนไม่มีทางออก เพราะระบบทุนได้ครอบงำ แพร่เชื้อชั่วเข้าไปในทุกวงการแม้กระทั่งการเกษตรก็ไม่เว้น แถมทำให้คนเหล่านั้นดิ้นเร่าๆไม่แพ้คนในเมืองเพราะพิษสงความอยาก...น่าสงสารเนอะอยู่กับขุมทรัพย์แต่มองไม่เห็นทรัพย์

พวกเราก็เหมือนกันหมดนั่นแหละครับ คือมักจะมองข้ามความปรารถนาดีของพ่อแม่ เห็นคำเตือนของท่านเป็นเรื่องเชย ล้าสมัย น่าเหน็ดเหนื่อย ไม่เห็นจะสบายตรงไหน ไม่เห็นมีคุณค่าอะไร และทุกครั้งที่มีคนคิดแบบนี้ มันก็สายเกินกว่าที่จะแก้แล้ว อันนี้เปรียบเทียบกันคนไทยเลยตรงๆ ในหลวงท่านเตือนเรามานานแล้วด้วยหลักเศรษฐกิจพอเพียง แต่จะมีสักกี่คนที่เข้าใจและตระหนักว่า เรากำลังจะกลายเป็นทาสทางเศรษฐกิจในอีกไม่ช้า

ย้ำนะครับว่าอีกไม่ช้าแล้ว เพราะทุกวันนี้ระบบทุนนิยมกินรวบไปหมดทุกพื้นที่ของโลกแล้ว สิ่งดีๆที่เหลืออยู่ในประเทศไทยก็กำลังจะโดนฮุบแล้วเช่นกัน ถ้าเรายังพอใจที่จะเป็นทาสทุนกันอยู่อย่างนี้ รับรองว่าอีกไม่นานทางเลือกที่เราพอมีอยู่ตอนนี้ก็จะหมดลง

ทีนี้ล่ะครับ ได้เป็นทาสเต็มตัวสมใจอยากแน่ๆ

No comments:

Post a Comment