Monday, August 27, 2012

มายาการแห่งวันหมดอายุ

น้ำเปล่ายังมีวันหมดอายุคิดดู!!
เราคงคุ้นเคยกับวันหมดอายุบนฉลากอาหารหรือเครื่องดื่มกันดี เพราะเราต้องตรวจเช็คอยู่เสมอก่อนจะซื้อสินค้า แต่มาวันนี้หน้าที่ของวันหมดอายุก็ไม่ได้เป็นเพียงวันหมดอายุธรรมดาอีกต่อไป

แล้วเกิดอะไรขึ้นกับวันหมดอายุ?

ทุกวันนี้ "วันหมดอายุ" ถูกนำมาใช้ในการกระตุ้นและเร่งการบริโภคอย่างบ้าคลั่งในสินค้าและบริการที่หรูหรา เปลี่ยนแปลงเร็ว เพื่อที่จะกระตุ้นให้เกิดการซื้อบ่อยๆ

เราจึงได้เห็นค่าโทรศัพท์มือถือแบบเติมเงิน มีวันหมดอายุที่สั้นมากๆ เพื่อเร่งให้เราใช้เงินนั้นให้หมดตามระยะเวลาที่กำหนด ไม่อย่างนั้นก็ต้องเติมเงินเข้าไปใหม่เพื่อให้ยอดเงินคงค้างกลับมาใช้ได้อีกครั้งหนึ่ง

เราจึงได้เห็นสมาร์ทโฟนที่เราเพิ่งซื้อมาแค่ครึ่งปี กำลังจะมีโมเดลใหม่รุ่นเดิมไล่หลังออกมาให้เราเซ็ง แถมราคาเครื่องที่เราซื้อ ตกลงไปหลายพันบาทในเวลาไม่นาน ทำให้หลายคนต้องวิ่งตามกระแสด้วยการเปลี่ยนมือถือบ่อยๆตามรุ่นใหม่ๆที่ออกมา

เราจึงได้เห็นสินค้าเครื่องใช้ต่างๆ ที่เคยมีอายุการใช้งานยืนยาว มีอายุการใช้งานสั้นลง เพราะลดคุณภาพวัสดุที่ใช้ เพื่อให้เกิดการซื้อเปลี่ยนใหม่เร็วขึ้น แถมราคาก็ไม่ได้ลดลงมากนัก

เราจึงไม่สามารถหาซื้อหน่วยความจำคอมพิวเตอร์รุ่นเก่าที่ผลิตเอาไว้เมื่อปีก่อนมาใส่เพิ่มให้คอมพิวเตอร์ตัวเก่าของเราได้ เพราะมันมีเทคโนโลยีใหม่มาแทนที่เรียบร้อยแล้ว

เราจึงได้เห็นวัยรุ่น เปลี่ยนสไตล์เสื้อผ้าหน้าผมกันเป็นว่าเล่น เพราะมันตกเทรนเร็วมาก

เราจึงไม่สามารถโหลดแอปใหม่ๆลงมือถือตัวเก่าได้เพราะระบบปฏิบัติการของเราเก่าเกินไป ไม่รองรับอะไรใหม่แล้ว

เราจึงไม่สามารถเปิดไฟล์งานที่ทำขึ้นจากโปรแกรมคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ได้ เพราะของเรามันเก่าไปแล้ว ต้องเสียเงินซื้อโปรแกรมตัวใหม่มาใช้งาน

ยังมีสินค้าและบริการอื่นๆอีกหลายรายการที่ไม่ควรจะมีวันหมดอายุ แต่ก็ดันมีขึ้นมา เป็นวันหมดอายุแบบไม่เป็นทางการ ซึ่งไม่มีผลกระทบกับการใช้งานสักเท่าไหร่ แต่มันกระทบกับความรู้สึกส่วนตัว และส่วนใหญ่จะเกิดกับสินค้าแฟชั่นหรูหราฟุ่มเฟือย

ซึ่งกลยุทธของผู้ผลิตคือ รีบออกสินค้าและบริการรุ่นใหม่ๆไล่หลังมาเป็นระยะ อาจจะครึ่งปีครั้ง ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่าไปกำหนดวันหมดอายุของสินค้ารุ่นเก่าทันที ทำให้ผู้ใช้ที่อ่อนไหวต่อกระแสนิยมต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนที่จะเปลี่ยนไปใช้รุ่นใหม่ ยอดขายก็จะพุ่งกระฉูด ทำเงินให้กับผู้ผลิตกันอย่างต่อเนื่อง สินค้าพวกที่เห็นได้ชัดในเรื่องนี้ก็คือพวกมือถือ แทปเล็ต เสื้อผ้า เครื่องประดับ ฯลฯ

แล้วยิ่งสังคมส่วนใหญ่มักจะตัดสินกันที่ว่าใครแต่งตัวดูดี มีมือถือ อุปกรณ์ไฮเทคพกพาดีกว่าและมากกว่า ก็จะยิ่งดูดีน่าเชื่อถือมากขึ้นเท่านั้น ก็กลายเป็นตัวกระตุ้นให้ทุกคน พยายามที่จะทำตัวให้ดูดีอยู่เสมอโดยหามือถือรุ่นล่าสุดมาใช้ ถือแทปเล็ตไปไหนมาได้ด้วยตลอดเวลา และมีคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คบางๆสวยๆอีกตัวพกติดตัวไปทุกที่

คิดดูก็แล้วกันครับว่า บางคนเงินกินข้าวก็ไม่ค่อยมี แต่มีมือถือเครื่องละ 2 หมื่นกว่าใช้งาน เด็กบางคนมีมือถือ 3-4 เครื่องก็มีให้เห็นนะครับ ซึ่งถ้าไปดูกันจริงๆแล้ว มันก็ไม่ได้ถูกใช้งานจริงๆจังๆหรอกครับ ส่วนใหญ่เอาไว้เล่นเกม เล่นเฟซบุ๊ค เล่นเน็ต ดูหนัง ฟังเพลง อวดเพื่อน แค่นี้จริงๆ

และไอ้ความดิ้นรนทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะได้มีความมั่นใจ มีความภูมิใจในตัวเอง

ถามจริงๆว่าถ้าเอาของมีแบรนด์เหล่านี้ออกไปจากชีวิตคุณ แล้วคุณจะกลายเป็นแค่ไอ้เบื้อกคนหนึ่งที่ไม่มีค่าอะไรอย่างนั้นเหรอ?

แบบนี้ก็ไม่เรียกว่าความภูมิใจแล้ว เพราะคนที่มั่นใจในตัวเองหรือภูมิใจในตัวเองจริงๆนั้น เขามีดีอยู่ข้างใน แต่ภายนอกจะสะท้อนออกมาหรือไม่ เขาก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว

ส่วนคนที่เอาของหรูๆมาห้อยเต็มตัวแล้วบอกว่ามั่นใจในตัวเองนี่ แบบนี้เรียกว่ากลบเกลื่อนความไม่มั่นใจของตัวเองมากกว่าครับ ต้องทำความเข้าใจเสียใหม่ด้วย

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพก็ได้ มีนักออกบบบางคนที่ฝีมือเข้าขั้นเซียนคนหนึ่ง เขาใช้แค่โปรแกรมกราฟฟิกรุ่นเก่าก็สามารถออกแบบงานได้ดีเยี่ยมอยู่แล้ว แต่กลับบางคนที่ใช้โปรแกรมรุ่นใหม่ล่าสุด ความสามารถของโปรแกรมก็มากกว่า แต่ก็ไม่สามารถสร้างงานที่ดีเทียบเท่าได้ เห็นไหมครับ

ดังนั้นเราก็ไม่ควรจะไปให้ค่าว่าอะไรเก่าแล้วเชย เก่าแล้วไม่ดี ของใหม่กว่าย่อมดีกว่า เพราะบางทีสิ่งที่เพิ่มขึ้นมากับเงินที่เสียไปในการซื้อของใหม่ มันก็ไม่คุ้มค่าเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มอย่างแท้จริง เป็นเพียงการชดเชยความรู้สึกของตนเองเท่านั้น อะไรที่ใช้ได้ก็ใช้ไปก่อน ซ่อมแซมบูรณะบ้างก็ใช้ได้เหมือนกัน ไม่ใช่เสียแล้วจะทิ้งอย่างเดียว หรือไม่ใช่เก่านิดเดียวก็ขายทิ้งเพื่อไปซื้อของใหม่ โดนผู้ผลิตดูดเงินไปเรื่อยไม่รู้จบ

และด้วยเล่ห์กลของวันหมดอายุนี่แหละ มันก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างอุปสงค์เทียมขึ้นมาเพื่อจะโกยรายได้เข้ากระเป๋ากันอย่างเข้มข้น จนทำให้เศรษฐกิจเกิดเป็นฟองสบู่อย่างทุกวันนี้

แล้วผลของมันอีกประการก็คือ ก่อให้เกิดขยะล้นโลก กำจัดไม่ทัน กลายเป็นมลภาวะเป็นพิษขึ้นมาอีก

ไม่เชื่อก็ไปดูสินค้าคุณภาพต่ำที่ผลิตในจีนแล้วส่งมาขายที่เมืองไทยสิครับ ราคาถูกมาก แต่ใช้งานได้เดี๋ยวเดียวก็กลายเป็นขยะไปแล้ว ซ่อมก็ไม่คุ้ม

สุดท้ายคนไทยเองนั่นแหละที่ต้องรับภาระจากขยะพิษทั้งหลายนี้ไปโดยปริยาย

No comments:

Post a Comment