Friday, September 21, 2012

มายาการแห่งความสะดวกสบาย

เอ๊ะ นี่ชั้นทำไรลงไปเนี่ย!!
ทุกวันนี้เราอยู่ในยุคที่มีแต่ความสะดวกสบาย อยากจะได้อะไรก็มีคนทำมาขายสนองความต้องการของเราในทุกรูปแบบจนเราแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงแค่คุณมีเงินก็สามารถเสกทุกอย่างที่ต้องการได้แล้ว

ไม่เชื่อลองไปดูสิครับว่ามีขายทุกอย่างจริงๆ และคำโฆษณาของสินค้าและบริการต่างๆที่ขายในท้องตลาดนั้นก็แทบจะเป็นใจความเดียวกันทั้งหมด นั่นก็คือ มันจะช่วยให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น

สิ่งนี้สะท้อนว่า ชีวิตเราทุกวันนี้ยุ่งยากมากเกินกว่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะรับมือไหวแล้ว ก็เลยต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกมาเป็นตัวช่วยมากมาย แต่สินค้าและบริการเหล่านี้เป็นตัวช่วยได้จริงๆ หรือเป็นเพียงเรื่องหลอกลวงที่ทำให้ชีวิตเรายุ่งยากมากขึ้นในภายหลัง?

คำตอบนั้นชัดอยู่แล้วครับ เพราะเจตนาของคนขายของก็คือขายของให้ได้เงิน และทำยังไงก็ได้ให้ได้เงินจากลูกค้าต่อเนื่องไม่ขาด สินค้าหรือบริการทั้งหลายจึงมีเงื่อนไขทั้งที่เปิดเผยและซ่อนเร้นแอบแฝงมาด้วยเสมอเพื่อการขายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเงื่อนไขที่ซ่อนเร้นเสียมากกว่า และส่วนที่ซ่อนเอาไว้นี่เองที่ทำให้ชีวิตเรายุ่งยากขึ้นในภายหลัง เพราะสินค้าและบริการส่วนใหญ่ถูกออกแบบให้เป็นระบบทาที่หาวิธีดูดเงินจากเราตลอดเวลา

ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจว่า วิธีการแก้ปัญหาของคนสมัยนี้ก็คือ ใช้เงินซื้อวิธีแก้ปัญหาเอา มันก็เลยมีคนหัวใสคิดประดิษฐ์สิ่งต่างๆมาขาย เน้นนะครับว่า "ขาย" ซึ่งการ "ขาย" ของเขานั้นก็คือการสนองตัณหาของเรานั่นเอง ไม่งั้นไม่ได้ตังค์ เพราะเราถูกตัณหาบังต้นเหตุอยู่ ทำให้ปัญหาจริงๆกลับไม่ได้ถุกแก้ไขอะไรเลย เพราะวิธีแก้ปัญหาจริงๆนั้นมันไม่ทำเงิน!

เพราะอะไรครับ?

ก็เพราะว่าทุกวันนี้ ชีวิตมันยุ่งยากเกินคนๆหนึ่งจะรับมือไหวแล้ว แต่แทนที่จะนั่งนิ่งๆพิจารณตัดส่วนที่เกินๆออก เรากลับเสียดายสิ่งที่สั่งสมมา แล้วเดินหน้าแก้ปัญหาด้วยการสร้างปัญหาใหม่ขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาเก่าไปเรื่อยๆ ทุกอย่างก็เลยพอกพูนมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งทรัพย์สิน ทั้งหนี้ ทั้งภาระ รวมถึงเวลาของเราด้วย โดยที่ปัญหาจริงๆก็ยังอยู่ ไม่เชื่อจะยกตัวอย่างก็ได้

คนๆหนึ่งอยากมีบ้าน ไม่อยากอยู่คอนโด ก็เลยไปซื้อบ้านเดี่ยวชานเมือง พอซื้อแล้วก็ดันไกลจากที่ทำงานที่อยู่ในเมือง ก็เลยต้องซื้อรถ พอซื้อรถ ก็ต้องเติมน้ำมัน ค่าน้ำมันอย่างเดียวก็ล่อเข้าไปเดือนละหลายพันบาท บางทีเกือบหมื่น พอขับรถเข้ามาในเมืองรถก็ติด เครียดอีก ก็เลยต้องหางานใหม่ที่รายได้ดีกว่า เพื่อเอาเงินมาผ่อนบ้าน ผ่อนรถ จ่ายค่าน้ำมัน พอหน้าที่การงานเติบโตขึ้น ภาระก็มากขึ้น ความคาดหวังจากบริษัทก็มากขึ้น เครียดอีก ต้นทุนในการทำงานก็เพิ่มขึ้นตามหน้าที่และฐานะทางสังคม ก็ต้องดิ้นรนหาเงินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เครียดอีก พอหน้ามืดแก้ปัญหากันแบบนี้ มันก็ทำให้ต้องเป็นหนี้เพิ่ม ความบีบคั้นความเครียดเพิ่ม คุณภาพชีวิตกลับลดลง กินข้าวก็เท่าเดิม บ้านหลังใหญ่โตแต่เอาไว้แค่ซุกหัวนอน เพราะส่วนใหญ่อยู่ที่ทำงานมากกว่าบ้าน ต้องหาเงินมาจ่ายค่าบ้าน พอทำงานหนักหมดสภาพ ก็ต้องเอาเงินเก็บที่มีไปรักษาตัว ตกลงนี่เราสู้เพื่ออะไรครับใครตอบได้ช่วยบอกที

คิดดูนะครับ ต่อให้ยากดีมีจนแค่ไหน เราก็กินข้าวแค่ 3 มื้อเท่ากัน อะไรที่เกินพอดีมันก็คือไม่พอดี ไม่ต้องแปลเป็นอย่างอื่น ไม่ต้องหาเหตุผมให้ตัณหาตัวเอง เพราะสิ่งต่างๆที่เราซื้อมาเพื่อแก้ปัญหาดันกลับสร้างเงื่อนไขใหม่ๆที่ทำให้ชีวิตเรายุ่งยากขึ้น เราซื้อบริการรายเดือนจำนวนมาก ทั้งเน็ต กับข้าวแบบปิ่นโต ค่ามือถือ ค่านิตยสาร เอาแค่ความยุ่งยากในการจ่ายค่าบริการต่างๆแต่ละทีก็ปวดหัวแล้ว พอรวมไปจ่ายที่เดียวให้สะดวกสบาย มันก็มีค่าใช้จ่ายในการชำระเงินเพิ่มขึ้นมาอีก ทุกสิ่งที่เราซื้อเพื่ออำนวยความสะดวกให้ตัวเราเอง ดันกลายเป็นต้นทุนที่เราต้องแบกเพิ่มขึ้นทุกๆเดือน แล้วมันจะเป็นการแก้ปัญหาได้ยังไง

ทั้งหมดนี้คือมายาลวงของความสะดวกสบายที่สินค้าและบริการต่างๆพยายามจะขายเรา เขาต้องการขายของ เขาต้องการเงิน เขาไม่ได้ต้องการแก้ปัญหาให้เราจริงๆ เพราะการแก้ปัญหาชีวิตที่ยุ่งยากนั้นก็คือ การลดสิ่งที่เกินๆทั้งหลายลง แล้วมันก็จะหายยุ่งไปเอง ซึ่งมันไม่ต้องใช้เงิน แล้วใครที่ไหนจะมาบอกเราเล่า(ก็บอกอยู่นี่ไง)

แล้วทุกคนก็ใช้วิธีแก้ปัญหาด้วยวิธีซื้อๆๆๆ ซึ่งวิธีการที่แก้ปัญหาด้วยการซื้อนั้น มันก็กำลังมาถึงจุดจบแล้ว เราเคยอยากได้รถเพราะไม่อยากนั่งรถเมล์ คือรถติดยังไงก็ขอนั่งติดในรถของเราเองดีกว่า พอทุกคนคิดอย่างนี้ รถก็เลยขายดี แต่พื้นที่ถนนกลับไม่เพิ่มขึ้นเลย ทีนี้ความซวยก็เริ่มตกอยู่กับทุกคนเองแล้ว เพราะทุกวันนี้การจราจรในกทม.เลวร้ายมากๆ ไอ้ที่เคยคิดว่าติดในรถของตัวเองดีกว่าก็เริ่มจะไม่ไหวแล้ว ซึ่งด้วยความที่แก้ปัญหาด้วยการซื้อนี่แหละ ที่ทำให้มันเกิดปรากฏการณ์แย่งกันอยู่แย่งกันกิน...เหมือนเปรต ปัญหาเก่าไม่ได้แก้ แถมมีปัญหาใหม่เพิ่มขึ้นมาให้ยุ่งยากอีก สุดท้ายเราจนลงแถมยุ่งกว่าเหมือนเดิม ในขณะที่เจ้าของสินค้าและบริการต่างๆกลับร่ำรวยขึ้นหน้าตาเฉยเลย

อาจจะมีคนเถียงว่า คนฉลาดเขาก็ใช้เงินทำงานสิ จะต้องไปทำเองทำไมทั้งหมด ก็ถูกของเขา เขาก็เลยจ้างพี่เลี้ยงถูกๆมาเลี้ยงลูกของตัวเองซะเลย ส่วนตัวเองก็ไปหาเงินมาจ่ายค่าจ้างพี่เลี้ยงซะ เพราะเขามีความสามารถหาเงินได้มากกว่าค่าจ้างพี่เลี้ยงอยู่แล้ว สรุปเด็กคนนั้นก็เติบโตมาโดยพี่เลี้ยง กลายเป็นเด็กสำเร็จรูปไปซะงั้น

หารู้ไม่ว่าการใช้เงินทำงานนั้น ที่สุดแล้วก็นำไปสู่การเบียดเบียนในรูปแบบใหม่ๆอีก พิจารณาง่ายๆ ทำไมคนทำงานถึงไม่รวยขึ้น แต่เจ้าของกิจการกลับรวยเอาๆ ทั้งๆที่จริงๆแล้วเจ้าของกิจการกลับทำงานน้อยกว่าพนักงายด้วยซ้ำ เคยสงสัยไหมครับว่าความมั่งคั่งที่แท้จริงไปตกอยู่กับใคร?

แล้วพอทุกคนเริ่มแย่งกันอยู่ แย่งกันกินมากขึ้น ขณะที่ทรัพยากรของโลกมีจำกัด มันก็จะเกิดการเบียดเบียนกันขึ้น คือสิ่งต่างๆมันก็มีจำกัดอยู่แค่นี้แหละ สุดท้ายก็เลยเกิดปัญหาว่า พอเราได้อะไรมา แต่คนอื่นก็ต้องเสียบางสิ่งไป ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ทรัพยากรส่วนใหญ่ในโลก ตกไปอยู่ในมือของคนกลุ่มเล็กๆกลุ่มเดียวที่เรียกว่านายทุน เพราะความสามารถในการเบียดเบียนของนายทุนเขามากกว่าเราทุกประตู เราไปสู้เขาในเกมของเขาไม่ได้หรอก แพ้ลูกเดียว

ใครที่ต้องการแก้ปัญหาจริงๆ อยากจะให้เกิดความสะดวกสบายกับชีวิตจริงๆ มันก็ต้อง "ลด" ครับ ลดอะไรที่มันเกินๆลงซะบ้าง  มันก็จะเบาจากภาระความยุ่งยากทั้งหลายไปเอง ไม่ใช่เอาแต่ซื้อลูกเดียวเหมือนคนคิดอะไรไม่ออก เพราแต่ละอย่างที่เราซื้อมาแก้ปัญหาก็ล้วนแล้วแต่จะกลายเป็นภาระในภายหลังทั้งนั้น ไม่เชื่อลองไปเดินสำรวจสิ่งของในบ้านดูครับว่ามีสินค้าที่คุณซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้หรือใช้ไม่กี่ครั้งมากแค่ไหน ผมเองเมื่อก่อนก็เคยลองสำรวจดู แล้วพบความจริงน่าตกใจที่ว่า ผมซื้อของใช้เกินจำเป็นมามากมาย สุดท้ายก็ต้องโละทิ้งทั้งหมดเพราะมันไม่ได้ถูกใช้งานจริง บางอย่างถูกปล่อยทิ้งไว้จนเสีย มันเป็นการซื้อเพราะความสนองความอยากและจินตนาการตัวเองมากกว่าที่จะเกิดประโยชน์อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยจริงๆ ถึงตอนนั้นก็เลยรู้ว่า เราตกอยู่ในวังวนของอุปสงค์ลวงที่นักโฆษณาสร้างขึ้นนั่นเอง

จากนั้นมาผมก็เลยลดๆๆๆๆ ตัดๆๆๆๆๆ จนแทบจะไม่บริโภคอะไรใหม่แล้ว และสิ่งที่บริโภคอยู่ก็คือความจำเป็นจริงๆ อย่างที่ไม่มีใครสามารถหากำไรเกินควรได้อีกแล้ว พอลดภาระทั้งหลายจนหมด มันก็เบาสิครับ นั่นแหละความสะดวกสบายมาทันที

ไม่เชื่อก็ลองเปลี่ยนแนวคิดมาลดมาตัดสิ่งที่เกินจำเป็นออกบ้างก็ได้นะครับ จะได้รู้ด้วยตัวเองว่ามันต่างจากการเอาปัญหาใหม่ไปแก้ปัญหาเก่ายังไง

No comments:

Post a Comment