Monday, October 1, 2012

ความอัปลักษณ์ของมูลค่าเพิ่ม

ผมเชื่อว่าทุกคนคงเคยได้ยินคำว่า "มูลค่าเพิ่ม" กันมาบ้างแล้ว

โดยเนื้อหาส่วนใหญ่ของ "มูลค่าเพิ่ม" ที่เราได้ยินได้ฟังนั้น ก็คือการเพิ่มมูลค่าของสินค้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการออกแบบ คุณสมบัติของสินค้าที่ดีขึ้น ฯลฯ เพื่อให้สินค้ามีมูลค่ามากขึ้น ดึงดูดผู้บริโภคมากขึ้น ขายดีและได้กำไรส่วนต่างจากมูลค่าของสินค้าที่เพิ่มขึ้น

แต่โดยความเป็นจริงแล้ว มูลค่าของสินค้าส่วนใหญ่ที่มีให้ผู้บริโภคไม่ได้เพิ่มขึ้นจริงๆเลยครับ มีแต่ราคาเพิ่มขึ้น เพราะมีคนเข้ามาแบ่งส่วนในมูลค่าที่เพิ่มขึ้นต่างหาก

มูลค่าเพิ่มของสินค้าทั้งหลายที่มีในตลาด ส่วนใหญ่จึงเป็นเรื่องหลอกลวงของการขายและการตลาดเท่านั้น

ความหมายที่แท้จริงของคำว่ามูลค่าเพิ่มจึงมีเนื้อหาอยู่ที่การขึ้นราคาเสียมากกว่า เพราะมูลค่าเพิ่มส่วนใหญ่ที่ถูกใส่มาในสินค้าทั้งหลายนั้น เริ่ม"เกิน"ความจำเป็นขั้นพื้นฐานของมนุษย์ไปมากแล้ว จนกลายเป็นความเยอะ เฟอะ ฟุ้ง อีนุงตุงนัง จนทำให้ชีวิตลำบากยากเย็นขึ้นทุกวันๆ เพราะมันขายกันทุกอย่างจนไม่รู้ว่าจะขายอะไรแล้ว ก็เลยออกอาการหาไอเดียส่งเดชนั่นนู่นนี่มาใส่เข้าไป ซึ่งบางอย่างดูผ่านๆก็เหมือนเข้าท่า แต่พอพิจารณาจริงๆแล้ว มันก็แค่หลอกขึ้นราคาเท่านั้นเอง

ไม่เชื่อก็ดูมือถือรุ่นใหม่ๆก็ได้ครับ แพงมากขึ้น แถมยังซับซ้อนจนน่าตกใจ ขนาดที่ว่าผมลองเล่น Smartphone รุ่นใหม่ดูแป๊บเดียวก็ได้แต่ขนหัวลุกว่า มันจะซับซ้อนบ้าบอกันไปถึงไหนไม่รู้ เพราะสุดท้ายเอาเข้าจริง เราก็ใช้งานเพียงฟังก์ชั่นพื้นฐานเท่านั้น ส่วนที่เยอะๆ ซึ่งผู้ผลิตยัดเยียดมาให้นั้น ได้กลายเป็น "ตัวกินเวลา" ในชีวิตของเราไปโดยเปล่าประโยชน์ทั้งนั้น แถมดึงดูดโฆษณาเข้ามาอีกมากมายด้วย

โดยหลักการของมูลค่าเพิ่มส่วนใหญ่นั้นก็คือ ทำให้สินค้าดูดีพิถีพิถันประณีตมากขึ้น คุณสมบัติเพิ่มขึ้น หรือพูดง่ายๆคือซับซ้อนขึ้น ใช้ทรัพยากรในการผลิตมากขึ้น เพิ่มขั้นตอนหรือกระบวนการผลิตและแปรรูปมากขึ้น ซึ่งกรณีถ้าเป็นผลิตภัณฑ์อาหารคือมีการปรุงแต่งมากขึ้น ทั้งๆที่โดยความเป็นจริงแล้ว อาหารของมนุษย์ควรจะปรุงแต่งให้น้อยที่สุด สดที่สุด ซับซ้อนน้อยที่สุด เพราะร่างกายมนุษย์เป็นสิ่งที่เกิดจากธรรมชาติ พอต้องดื่มกินอะไรที่มันปรุงแต่งหรือดัดแปลงผิดไปจากธรรมชาติเดิมเยอะๆ มันก็จะทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆตามมาอีกมากมาย เหมือนที่เป็นกันอยู่ทุกวันนี้นั่นเอง

แต่โดยความเป็นจริงแล้วมันไม่มีหรอกครับที่ใครจะมาบอกว่าเราใส่มูลค่าเพิ่มในสินค้าโดยที่ทำให้มันเรียบง่ายมากขึ้น ซับซ้อนน้อยลง เพราะผู้คนทั้งหลายต่างก็ถูกทำให้เสียนิสัยจากเกมการกระตุ้นผู้บริโภคจากนักการตลาดและโฆษณาทั้งหลายนั่นแหละ ที่อะไรๆก็ต้องเยอะๆเอาไว้ก่อน ดีที่สุดเอาไว้ก่อน ผู้ผลิตสินค้าก็พลอยติดกับดักตัวเองไปด้วย ต้องวิ่งไปข้างหน้าลูกเดียว ขืนไม่วิ่งเดี๋ยวคู่แข่งวิ่งตามมาเหยียบ วิ่งช้าเพื่อนเอาไปกินอีก ส่วนผู้บริโภคก็นิสัยเสีย เอาแต่เรียกร้อง ก็เลยต้องเจอกลเม็ดหลอกล่อดึงเงินออกจากกระเป๋าทุกรูปแบบอยู่ทุกวัน แล้วระบบงูกินหางนี้เองก็ทำให้ดัชนีราคาสินค้าทั้งหลายพุ่งสูงเสียดฟ้า ทำลายสถิติใหม่เป็นว่าเล่นอยู่ตลอดเวลาอย่างไม่จำเป็นเลย

ถามกันตรงๆว่า แค่กินข้าวมื้อหนึ่งมันจะต้องการอะไรซับซ้อนมากไปกว่า ข้าวมื้อเดียวบ้าง คนสมัยนี้กว่าจะกินข้าวมื้อหนึ่งได้ต้องแสวงหา ต้องพิจารณาทุกปัจจัย หรือถ้าทำเอง ก็ต้องประดิษฐ์ประดอยให้มันน่ากิน จนผู้คนทุกวันนี้ต่างก้หมกมุ่นอยู่แต่กับตัวเอง หมกมุ่นอยู่กับความต้องการของตัวเอง จนไม่มีใครสนใจใครจริงๆแล้ว

นอกจากมูลค่าเพิ่มจะทำให้ราคาของสินค้าและบริการต่างๆเพิ่มขึ้นแล้ว ยังมีส่วนของผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายเพิ่มเข้ามาให้มันซับซ้อนมากขึ้นไปอีก ซึ่งหลายครั้งก็เพิ่มเข้ามาแบบไม่จำเป็นต่อคุณสมบัติของสินค้าที่แท้จริง แต่เป็นไปเพื่อการตบตาผู้บริโภคว่าเราได้เพิ่มมูลค่าเข้าไปแล้ว ยอมให้เราขึ้นราคาแต่โดยดี และที่แน่ๆชัวร์ๆคือ ผู้ผลิตสินค้าต้องการกำไรเพิ่มอย่างแน่นอนครับ ไม่งั้นคงไม่งัดคำว่ามูลค่าเพิ่มมาบอกกับผู้บริโภคทางอ้อมว่า เรากำลังจะขึ้นราคา หรอก จริงไหม

และจากวงจรอุบาทว์แห่งการเพิ่มมูลค่าของสินค้านี่เอง ที่ทำให้ผู้บริโภคดูเหมือนจะถูกปิดประตูตีแมว ซึ่งที่สุดก็จำต้องควักเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้นจากมูลค่าเพิ่มที่ตนไม่ต้องการ เพียงเพราะนักการตลาดและโฆษณาบอกเราว่าดี ว่าเป็นความต้องการของเรา แล้วส่วนต่างกำไรของมูลค่าเพิ่มก็ไปตกอยู่กับผู้ผลิตสินค้าหรือพ่อค้าคนกลางหมด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคนหลังมากกว่า เพราะทุกวันนี้พ่อค้าคนกลางเริ่มสามานย์มากขึ้นจนน่าตกใจ

ผมเองเริ่มเอียนกับคำว่ามูลค่าเพิ่มมาพักใหญ่แล้ว หลังจากรู้ทันความหมายเบื้องหลังของคำว่ามูลค่าเพิ่มที่แท้จริง ก็อดไม่ได้ที่จะเอามาเปิดเผยให้มันรู้แจ้งกันไปเลย จะได้ไม่มีใครโง่ถูกหลอกกันอีก เพราะไอ้คำว่ามูลค่าเพิ่มนี่แหละที่ทำให้เราไม่เคยพบพานกับคำว่าพอเพียง หรือเรียบง่ายสักที ได้แต่อะไรที่มันซับซ้อนซ่อนเงื่อนในมูลค่าเพิ่มจอมปลอมทั้งหลายไปเรื่อย

ก็ถ้าไม่อยากจะตกหลุมพรางของคำว่า "มูลค่าเพิ่ม" จากผู้ผลิตสินค้า จากพ่อค้าคนกลาง และจากนักการตลาด นักโฆษณาทั้งหลาย ก็ไม่ต้องไปตั้งตัวเองหรือวางตำแหน่งตัวเองเป็นผู้บริโภค หรือไปคิดว่าฉันคือพระเจ้า ใครอยากได้เงินฉันก็ต้องเอาใจกันสุดๆ ฉันมีเงินใครจะทำไม เพราะสุดท้ายแล้วก็โดนหลอกเอาเงินตลอดนั่นแหละ เพียงแต่ให้ทำทุกอย่างด้วยความเรียบง่าย กินอยู่ง่ายๆ ตัดขั้นตอนที่ซับซ้อนออกไป เพราะส่วนใหญ่มูลค่าเพิ่มก็เป็นมาจากการสร้างอุปสงค์ลวงทั้งนั้น จะทำอะไรก็แค่สนองความต้องการพื้นฐานก็พอ ไม่ต้องไปสนองตัณหาส่วนที่มันอยากจะ "เยอะ" หรืออลังการงานสร้างมากจนเกินไป

ส่วนถ้า อยู่ๆจะมีใครมายกให้เราเป็นนั่นเป็นนี่ที่เลิศหรูดูดีเกินกว่าความเป็นจริง หรือพยายามทำให้เรารู้สึกมีคุณค่ามากขึ้น ด้วยสินค้าของเขา ก็เอะใจได้เลยว่า กำลังโดนกลเม็ดการสร้างมูลค่าเพิ่มของนักโฆษณาเข้าให้แล้ว อย่าให้โดนหลอกอีกก็แล้วกัน

No comments:

Post a Comment