Wednesday, October 15, 2014

มนุษย์จะพัฒนาไปไหน?

การพัฒนาทุกวันนี้มันมีสภาพเป็นแบบนี้ครับ พัฒนาเพื่อการผูกขาดของธุรกิจไม่ใช่เพื่อประชาชน
ช่วงที่ผ่านมาหลังการปฏิวัติ ก็ได้มีกระแสเรื่องปฏิรูปประเทศขึ้นมาในแทบทุกวงการ ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา เรื่องคอรัปชั่น ฯลฯ นอกจากการปฏิรูปประเทศแล้วก็ยังมีการพูดถึงการพัฒนาประเทศด้วย ซึ่งเห็นแนวทางพัฒนาประเทศในแต่ละด้านแล้วละเหี่ยใจอย่างแรง

ก็จะพัฒนาไปไหนล่ะครับ?
ก็จะพัฒนาไปเพื่ออะไรล่ะครับ?

ถ้าอธิบายประเด็นนี้ได้ไม่ตรงจุด ถ้าไม่เข้าใจความเป็นจริงของปัญหาหรือรากเหง้าของปัญหา ต่อให้พัฒนาไปมากแค่ไหน หรือเจริญก้าวหน้าอย่างไรก็ไม่มีวันที่จะทำให้มันดีได้เลย

ซึ่งคำว่า "ดี" เนี่ยก็ต้องพูดให้ชัดด้วยว่าดีของใคร ดีของนายทุนหรือดีของประชาชน เพราะมันไม่เหมือนกัน

การพัฒนาที่ทำๆกันอยู่ทุกวันนี้มันน่าละเหี่ยใจ เพราะมันไม่ใช่การพัฒนาเพื่อมนุษย์ที่แท้จริง แต่มันคือการพัฒนาเพื่อระบบทุน เพื่อผลกำไร เพื่อความมั่งคั่งของคนไม่กี่คนที่กุมอำนาจทุนอยู่ แล้วมันก็จะละทิ้งปัญหาเดิมๆเอาไว้ สร้างปัญหาใหม่ๆเพิ่มพูนขึ้น จนในที่สุดก็จะกลับมาเป็นปัญหาอีกไม่รู้จบ

เรียกว่ายังไม่แก้ปัญหาที่สาเหตุจริงๆ คือแก้ปัญหาบนรากฐานที่มีปัญหา และปัญหาจริงๆไม่ได้อยู่ที่ประชาธิปไตย แต่อยู่ที่อำนาจทุนเหนืออธิปไตยของชาติต่างหาก ซึ่งหากละเลยประเด็นนี้ ต่อให้พัฒนาไปแค่ไหน มันก็จะลากเอาปัญหาติดไปด้วยเสมอ และไอ้ที่เราแก้ๆทำๆกันอยู่นี้ มันไม่เรียกว่าการพัฒนาที่แท้จริงหรอก เพราะการพัฒนาที่แท้จริงจะต้องแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน แก้แล้วจบ ไม่ใช่แก้ไปแล้วต้องกลับมาแก้อยู่เรื่อยๆ

จริงๆแล้วระบบทุนนิยมนั้นเกลียดความยั่งยืนอย่างกับอะไรดี เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ยั่งยืน ก็จะหากินไม่ได้ ไม่เชื่อลองนึกภาพเครื่องซักผ้าที่ทนทานใช้นาน 20-30 ปี หรือทีวีที่ทนทานใช้ได้ 20 ปีสิ หรือมือถือที่ใช้งานได้เป็น 10 ปีดูสิ ดูว่าจะขายของกันออกไหม ระบบทุนนั้นหากินกับความฉาบฉวยและความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วครับ

ดังนั้นไอ้ความยั่งยืนแบบที่โฆษณากันตามสื่อน่ะเป็นเรื่องโกหก เพราะระบบทุนนั้นขึ้นอยู่กับการบริโภค และความถึ่ของการบริโภค ถ้าผู้คนไม่บริโภคแล้วจะเอาเงินที่ไหนมารวยเล่า ดังนั้นเราก็อย่าไปแสวงหาความยั่งยืนจากระบบทุน เพราะมันไม่มีให้ เหตุนี้เอง การพัฒนาทั้งหลายในระบบทุนก็จะมุ่งเน้นไปที่การสร้างการบริโภคใหม่ๆ ให้ผู้คนได้วิ่งไล่ตามระบบ สูบกินทรัพยากรของโลกอย่างรวดเร็ว ทำให้เราต้องไล่ตามสินค้าใหม่ๆอย่างไม่หยุดหย่อน อารมณ์ประมาณหนูถีบจักรยังไงยังงั้น

นอกจากพัฒนาบนความไม่ยั่งยืนแล้ว ก็ยังพัฒนาไปเพื่อให้ผู้คนทั้งหลายได้พึ่งพาระบบกันเต็มที่ ไม่คิดและไม่มีภูมิปัญญาจะพึ่งตัวเองกันเลย คนทุกวันนี้ก็เลยทำอะไรไม่ค่อยเป็น เดี๋ยวก็เรียกร้อง เดี๋ยวก็ประท้วง เดี๋ยวก็งงว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง เรียกว่าความก้าวหน้าของระบบทุกวันนี้ มันแทบจะสำเร็จรูปกันหมดแล้ว ทำอะไรกันไม่เป็น ศักยภาพในความเป็นมนุษย์หดหายหมด แถมระบบทุนก็ซับซ้อนเกินกว่าคนธรรมดาจะเข้าใจได้ ก็เลยเกิดการผูกขาดในที่ลับและที่แจ้งกันไปทุกวงการ

ทุกวันนี้เราอยู่ในสถานะที่เสี่ยงต่อการล่มสลายทางอารยธรรมเอามากๆ เพราะภูมิปัญญาทั้งหลายที่สั่งสมมาในอดีตได้หดหายไปหมดแล้ว หรือไม่ก็ถูกนำไปจดลิขสิทธิ์ สิทธิบัตรกันจนกลายเป็นเรื่องเฉพาะอันซับซ้อนยุ่งยาก กลายเป็นความคับแคบในการหากำไรไป แทนที่จะทำเพื่อสังคมมนุษย์โดยรวม

ไม่เชื่อก็ลองดูสิครับว่าเราพัฒนากันแบบไหน ถึงได้มีคนชายขอบ คนตกสำรวจ คนยากไร้ คนไร้บ้าน กันมากมายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นี่ไม่นับสถิติอาชญกรรมที่เพิ่มขึ้นทุกวัน ปัญหาเยาวชนเพิ่มขึ้นทุกวัน คนในสังคมอยู่กันอย่างหวาดระแวงมากขึ้นทุกวันจนกล้องวงจรปิดหรือกล้องหน้ารถขายดีเป็นเทน้ำเทท่า นี่เห็นว่าจะมีกล้องประจำตัวแบบแขวนคออีกน่ะ ผมว่าพัฒนากันแบบนี้อย่าพัฒนามันเลยดีกว่า

หรือจะยกอีกตัวอย่างก็ได้นะ อย่างทุกวันนี้เราพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารขึ้นมาด้วยมาตรฐานที่สูงมาก มีความสะอาดปลอดภัย แต่ไหงทุกวันนี้เรากลับป่วยไข้ด้วยอาหารการกินมากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน มากจนทำให้อุตสาหกรรมยาและธุรกิจการแพทย์เจริญรุ่งเรืองและร่ำรวยสุดๆ งงไหมครับว่าเราพัฒนากันไปทำไม
ถ้าสังคมโลกยังเป็นแบบนี้อยู่อารยธรรมของมนุษย์จะล่มสลายในที่สุด ถ้าไม่เชื่อก็รอดูได้ครับ
ตัวอย่างการพัฒนาอันสุดท้ายเพื่อความสะใจ ใครอยู่ในกทม.คงจะรู้ว่าทุกวันนี้รถติดสาหัสมาก แล้วก็ไม่ใช่แค่ติดในชั่วโมงเร่งด่วนนะครับ ทุกวันนี้ กทม.รถติดตลอด 24 ชม. นี่แหละที่อยากจะถามว่าพัฒนายังไง รถรุ่นใหม่ๆที่ดีขึ้น สะดวกสบายขึ้น เพื่อที่จะให้เรานั่งอยู่ในรถต่อวันได้นานขึ้น อีกหน่อยคงพัฒนาให้มันกินอยู่หลับนอนในรถได้เลยกระมัง

การพัฒนาที่แท้จริงนั้นมันไม่มีหรอกครับว่าจะต้องพัฒนาเรื่อยๆ ไอ้แบบที่ไล่ตามกิเลสตัณหาของผู้คนเนี่ย มันไม่ใช่การพัฒนานะครับ จะพัฒนากันจริงๆก็ต้องรู้ก่อนว่าจะพัฒนาเพื่ออะไร ถ้าจะพัฒนาให้จบสั้น ก็คือการพัฒนาเพื่อมนุษย์  ลดภาระการเป็นการอยู่ ลดความซับซ้อนยุ่งยากของชีวิต ซึ่งทุกวันนี้มันมีแต่ซับซ้อนขึ้น คับแคบมากขึ้น เพราะพัฒนาไปก็ให้สิทธิ์เพียงแค่คนที่มีเงินจ่ายเท่านั้น คนที่ไม่มีเงินก็ทุกข์ยากลำบากกันไป ทั้งๆที่พวกเราๆท่านๆทั้งหลายเกิดหลังโลกตั้งนาน แต่ก็พยายามจะเป็นเจ้าของโลกกันอยุ่นั่น ยิ่งพัฒนาก็ยิ่งคับแคบคับแค้น ก่อความเบียดเบียนให้เพื่อนร่วมโลกไปทั่ว

พูดกันตรงๆแบบไม่อ้อมค้อม คือ ระบบทุนนั้นขวางการพัฒนาเพื่อมนุษย์อยู่ ไม่ให้เราได้อยู่อย่างสงบสุขเสียที เพราะความสงบสุขของทุกคนมันไม่ตอบโจทย์ในการปั่นมูลค่าความมั่งคั่งได้ ซึ่งถ้าดูกันจริงๆแล้วเศรษฐกิจโลกทุกวันนี้ก็คือฟองสบู่ก้อนโตๆนี่เอง ตัณหาในสิ่งต่างๆของผู้คนมันเยอะเกินกว่าที่โลกจะสนองได้แล้ว

ถ้าอยากจะรู้ว่าการพัฒนาที่แท้จริงนั้นเป็นยังไง ก็ให้ไปดูที่วังสวนจิตรลดา หรือโครงการหลวงทั่วประเทศนะครับ เพราะในหลวงท่านทรงงานในการพัฒนาสำหรับมนุษย์อย่างแท้จริง เทคโนโลยีที่พระองค์ทรงใช้จึงเรียบง่ายไม่ซับซ้อน ตอบโจทย์ แก้ปัญหาพื้นฐานให้คนไทยได้ทุกด้าน สร้างเองได้ง่ายๆ และแม้จะมีสิทธิบัตรก็จริง แต่คนไทยทุกคนสามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้ทั่วไปครับ ที่พระองค์ท่านต้องจดสิทธิบัตรเอาไว้เพราะคนไทยจะได้ใช้งานโดยไม่ต้องไปเสียค่าใช้สิทธิบัตรแบบที่เราต้องจ่ายในเชิงการค้าให้กับบริษัทเอกชนอีก

แต่สุดท้ายแล้วเราก็พอใจที่จะใช้การแก้ปัญหาแบบบริโภคนิยมเหมือนเดิม คือซื้อเอาง่ายกว่า แต่ก็แพงกว่าและไม่ยั่งยืน ต้องซื้ออยู่เรื่อยๆ แถมขึ้นราคาเรื่อยๆ คุณภาพลดลงเรื่อยๆ กลายเป็นระบบทาสในวงจรบริโภคไป ซึ่งสุดท้ายไม่มีใครตามเล่ห์กลพ่อค้าทันหรอกครับ

การพัฒนาที่แท้จริงนั้น ควรจะสอดคล้องกับความเป็นจริงของธรรมชาติเดิมๆที่มีอยู่ ซึ่งก็ไม่ต้องพัฒนาอะไรมากเลยครับ เราแค่ทำในสิ่งที่ช่วยให้ธรรมชาติทำงานเองได้เร็วขึ้น ง่ายขึ้น เท่านั้น ไม่ใช่ไปเอางานจากธรรมชาติมาทำเองทั้งหมด ซึ่งมันผิดธรรมชาติ พอทำไปแบบนั้นก็จะมีแต่ปัญหาใหม่ตามมาอีกเยอะแยะ ทั้งยังเป็นภาระที่ต้องคอยแบกอยู่ตลอดเวลา(แต่ไม่รู้ตัวกัน) ซึ่งจริงๆแล้วก็ไม่มีใครชอบหรอก เพียงแต่มันเป็นจุดที่ระบบทุนจะแสวงหาความมั่งคั่งได้ โดยการหล่อหลอมให้เราสิ้นศักยภาพในการพึ่งพาตนเอง หล่อเลี้ยงเราให้อยู่อย่างสุขสบายจนสัญชาติญาณการเรียนรู้และลงมือทำฝ่อไปหมด ปล่อยให้เราเห็นแต่ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป แล้วปกปิดกระบวนการผลิดเอาไว้ในนามของผู้เชื่ยวชาญเพื่อทำกำไร การพัฒนาจอมปลอมเหล่านี้จึงยังมีอยู่เพื่อหลอกเอาเงินออกจากกระเป๋าเราไปเรื่อยๆไม่รู้จบ

ยกอีกตัวอย่างก็ได้ คือ ธุรกิจการศึกษา ทุกวันนี้ระบบการศึกษาเป็นไปแบบเพิ่มตัวเลือก คือเรียนโรงเรียนอย่างเดียวไม่พอ ครูก็กั๊กเนื้อหาไว้เปิดคอร์สเรียนพิเศษตอนเย็น ตัดเนื้อหาพิเศษออกมาหากินต่างหาก ทำให้ค่าเล่าเรียนสมัยนี้โดยรวมแล้วแพงมากแถมคุณภาพก็ต่ำติดดินอีก การพัฒนาในเชิงธุรกิจมันเป็นแบบนี้ครับ คือมองแต่ตัวเลขอย่างเดียว โดยไม่ได้สนใจว่าระยะยาวแล้วมันจะนำไปสู่การล่มสลายของอารยธรรมมนุษย์โดยรวมแม้แต่นิดเดียว

การพัฒนาที่ยั่งยืนนั้นอย่างแท้จริงนั้น จะต้องฟื้นฟูภูมิปัญญาของมนุษย์ ของสังคม ฟื้นฟูศักยภาพในการพึ่งพาตนเอง พึ่งพาชุมชน พึ่งพาท้องถิ่น กลับไปสู่รากเหง้าเดิม ไม่ใช่พัฒนาให้เก่งแต่บริโภคหรือเลือกบริโภค หรือพัฒนาให้เก่งในการเอารัดเอาเปรียบกัน ไม่อย่างนั้นเราก็ไม่แตกต่างอะไรจากสัตว์ที่อยู่ด้วยการล่า ด้วยการเบียดเบียนกันเลย

และบอกได้ว่า เราไม่สามารถที่จะหวังการพัฒนาที่แท้จริงได้จากรัฐบาลไหนในโลกนี้ได้เลย เพราะแทบจะทุกรัฐบาลในโลกนี้ล้วนแล้วตกอยู่ใต้อำนาจทุนทั้งนั้น การพัฒนาทุกอย่างจึงเป็นไปเพื่อระบบทุนทั้งนั้น ประชาชนก็เป็นเพียงแค่ปศุสัตว์ในไร่เท่านั้นเอง

การพัฒนาที่แท้จริงจะเกิดขึ้นในภาคประชาชนเท่านั้นครับ ไม่ต้องไปหวังพึ่งใคร เพราะมันเป็นเรื่องของการฟื้นฟูศักยภาพและภูมิปัญญาในการพึ่งพาตนเอง ลดการพึ่งพาระบบ ซึ่งเป็นสิ่งที่ระบบทุนไม่ต้องการเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะสูญเสียอำนาจ และไม่สามารถที่จะมีอำนาจเหนือตลาด ไม่สามารถผูกขาดแบบเบ็ดเสร็จได้อีกต่อไป

No comments:

Post a Comment